วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

นับถอยหลังWorldcup 2010

ทีมเด่น ทีมเต็งในแต่ละกลุ่ม

กลุ่ม เอ


ฝรั่งเศส


การที่ฝรั่งเศสเข้ารอบสุดท้ายศึกฟุตบอลโลกปี 2002 ที่แอฟริกาใต้ได้นั้น เป็นครั้งที่ 4 ติดต่อกันที่พวกเขาสามารถทำได้สำเร็จ โดยก่อนหน้านั้น พลพรรค เลส์ เบลอส์ ไม่เคยทำได้มาก่อนเลย นั่นเป็นเพราะขุนพลตราไก่เพิ่งจะสถาปนาตัวเองเป็นเต้ยแห่งโลกลูกหนังเมื่อ ประมาณทศวรรษที่ 90 มานี้เอง แม้จะเป็นชาติแรกๆ ที่ร่วมวงศ์ไพบูลย์ใน เวิลด์ คัพ มาตั้งแต่ครั้งแรกเมื่อปี 1930 และสร้างดาวดังระดับตำนานมาประดับวงการหลายต่อหลายคน แต่ในช่วงทศวรรษหลังๆ เท่านั้นเอง ที่พวกเขาได้ยกระดับในฐานะทีมเต็งของทัวร์นาเม้นต์ใหญ่ๆ และมีความหวังลุ้นแชมป์กันอย่างเป็นจริงเป็นจัง
เส้นทางสู่ แอฟริกาใต้
การเข้ารอบคราวนี้อาจ จะไม่สง่างาม อย่างไรก็ตามฝรั่งเศส ทำได้ตามเป้าหมายที่แฟนๆ ตั้งไว้คือผ่านเข้ารอบ ที่ต้องสู้กับไอร์แลนด์ถึงรอบเพลย์ออฟ ผลฝรั่งเศสชนะ 2-1 ในสกอร์รวม หลังจากที่ได้อันดับสองของรอบคัดเลือกโซนยุโรปกลุ่ม 7 "ตราไก่" ที่เสียตำแหน่งแชมป์ให้เซอร์เบีย ต้องเสียหน้าในเกมกับโรมาเนีย หรือแม้แต่ลิทัวเนีย เริ่มต้นนัดแรกของรอบคัดเลือก ฝรั่งเศสพ่ายที่ออสเตรเลีย 3-3 ก่อนจะไปเสมอที่เซอร์เบีย 1-1 แม้จะเหลือผู้เล่นแค่ 10 คน และตกเป็นฝ่ายตามตั้งแต่ต้นเกม หลังจากนั้น ฝรั่งเศส เอาชนะแฟโร 5-0 และชนะออสเตรีย 3-1 ได้สิทธิ์เล่นเพลย์ออฟ ในฐานะทีมอันดับ 2 ของกลุ่ม และผ่านทีม "ยักษ์เขียว" ไอร์แลนด์ ด้วยประตูรวม 2-1 แบบต้องต่อเวลาพิเศษออกไปในนัดที่ 2
นักเตะที่ต้อง จับตา
ตั้งแต่รุ่น ซีเนอดีน ซีดาน, ฟาเบียง บาร์กเตซ, โคล้ด มาเกเลเล่ และ ลิลิยง ตูราม ซึ่งทั้งหมดได้เล่นฟุตบอลโลกหนสุดท้ายของอาชีพตนเองไปเมื่อปี 2006 ก็มีแกนหลักรุ่นใหม่ก้าวขึ้นมาแทน ด้วยความที่ ปาทริค วิเอร่า ได้รับบาดเจ็บอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ เธียร์รี่ อองรี ซึ่งเป็นนักเตะที่หลงเหลือจากชุดแชมป์โลกปี 98 เพียงคนเดียว รับหน้าที่สวมปลอกแขนกัปตันทีม ขณะที่ วิลเลี่ยม กัลลาส คือนายใหญ่ในแผงหลัง และ เฌเรมี่ ตูลาล็อง กับ ลาสซาน่า ดิยาร์ร่า คือมิดฟิลด์คู่กลางที่ทีมจะขาดไปไม่ได้ เช่นเดียวกับ โยอัน กูร์กคุฟฟ์, ฟร้องค์ ริเบรี่ และ นิโกล่าส์ อเนลก้า มีเป็นทางเลือกที่หลากหลายสำหรับโค้ช นอกจากนี้ยังมี คาริม เบนเซม่า, อ็องเดร-ปิแอร์ กีญัก, ฟลอร็องต์ มาลูด้า และ โลอิก เรมี่ ที่เป็นตัวความหวังอีกเช่นกัน
กุนซือ
สำหรับคนฝรั่งเศสแล้ว เรย์มองด์ โดเมอเน็ก ถือได้ว่าเป็นตัวประหลาด ตั้งแต่เข้ามาคุมทีมชาติปี 2004 ช่วงแรกได้รับคำชมว่ามีทักษะการสื่อสารที่ดี แต่ก็มากจนเกินขอบเขตไปในช่วงหลังจากที่ฝรั่งเศสร่วงตกรอบยูโร 2008 โดเมอเน็ก ยังไม่มีโทรฟี่กับทีมชาติฝรั่งเศส กระนั้นเขาก็กลายเป็นกุนซือที่ทำทีมชาตินานที่สุดไปเรียบร้อยแล้ว และจะได้พิสูจน์ความสามารถอีกครั้งในฟุตบอลโลก เขาเริ่มต้นการคุมทีมระดับสโมสรกับ มัลฮูส และ ลียง ก่อนจะก้าวเข้ามารับงานคุมทีมชาติชุดยู-20 ซึ่งหลังจากพาทีมเยาวชนตราไก่ประสบความสำเร็จทำให้เขาได้คุมทีมชาติชุดใหญ่
ฟุตบอลโลกที่ ผ่านมา
เลส์ เบลอส์ เข้ารอบสุดท้ายทั้งหมด 12 สมัย ซึ่งการได้แชมป์โลกในบ้านตัวเองเมื่อปี 1998 ถือเป็นผลงานที่ดีที่สุดของพวกเขาใน เวิลด์ คัพ ถัดมาก็คือการเป็นรองแชมป์ในปี 2006 นอกจากนี้ยังเคยได้ที่ 3 เมื่อปี 1958 และ 1986 และที่ 4 ในปี 1982
เกียรติประวัติ
- 1 แชมป์ ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ (1998)
- 2 แชมป์ คอนเฟดเดอเรชั่นส์ คัพ (2001,2003)
- 2 แชมป์ ยูโรเปี้ยน แชมเปี้ยนชิพส์ (1984, 2000)
วาทะ
“วัตถุประสงค์ของเราคือการผ่านเข้ารอบ เรารู้ว่ามันไม่ง่ายเลย แต่ผมก็ไม่เคยมีข้อกังขาใดๆ เราประสบกับความยากลำบากมาตลอด 2 ปี แต่ทุกคนยังคงมีความเชื่อ และพิสูจน์ให้เห็นว่าเราทำได้ นั่นคือการไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่ แอฟริกาใต้” เรย์มองด์ โดเมอเน็ก โค้ชทีมชาติฝรั่งเศส




เม็กซิโก

หลังจากสองปีที่เปลี่ยน โค้ชไปถึง 3 คน และใช้นักเตะกว่า 60 คนในช่วงเวลาที่ผ่านมา เม็กซิโก กลับสู่ภาวะที่นิ่งสงบอีกครั้งหนึ่งกับกุนซือ ฮาเวียร์ อกีร์เร่ โดยอดีตกุนซือแอตเลติโก มาดริดได้ผสมผสานนักเตะดาวรุ่งฝีเท้าดีกับดาราดังได้อย่างลงตัว สร้างความเชื่อมั่นให้กับทีมอีกครั้งหนึ่ง
หลังจากได้ทำ การแต่งตั้ง “เอล วาสโก” เข้ามาคุมทีม เม็กซิโกทะยานจากอันดับ 5 ขึ้นสู่อันดับ 2 ของโซนคอนคาเคฟ ด้วยสถิติชนะ 5 เสมอ 1 แพ้เพียงแค่ครั้งเดียว ซึ่งฟุตบอลโลกหนนี้ ขุนพลทีม “จัง โก้” ตั้งเป้าไว้ว่าจะผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายให้จงได้

เส้นทางสู่แอฟริกาใต้
เม็กซิโก เริ่มต้นการคัดบอลโลก ในรอบคัดเลือกรอบ 2 โดยเจอกับทีมเล็กๆ อย่าง เบลิเซ่ และเป็นฝ่ายถล่มเอาชนะไปได้รวมสองนัด 9-0 โดยในสมัยนั้น ยังคุมทีมโดยกุนซือผมด้านหน้าน้อย สเวน โกรัน อีริคส์สัน และพอมาถึงรอบแบ่งกลุ่ม ในสามเกมแรก ทีมจังโก้ชนะรวดทั้ง 3 นัด แต่ใน 3 นัดหลัง กลับเอาชนะใครไม่ได้เลย และในนัดสุดท้าย ที่เม็กซิโกพ่ายทีม ฮอนดูรัส ไป 0-1 จนเป็นฝ่ายตกมาอยู่อันดับ 2 ของตารางชนิดได้แต้มเท่ากับทีมอันดับสามอย่าง "เรกเก้บอย" จาเมก้า แต่ยังดีที่ลูกได้เสียดีกว่า และโดนฮอนดูรัสเบียดเข้ารอบเป็นที่ 1 ของกลุ่มไปในที่สุด และพอได้มาอยู่ในรอบแบ่งกลุ่ม รอบสุดท้ายของรอบคัดเลือก เม็กซิโกประเดิมรายการในรอบนี้ไม่สวยนัก ด้วยการพ่ายให้กับทีมเต็งแชมป์กลุ่มอย่าง "ลุงแซม" อเมริกา ไป 0-2 ชนิดสู้ไม่ได้เลยนัดที่สาม ก็ยังคงพ่ายให้กับทีมแย่งแชมป์กลุ่มรอบที่แล้วอย่าง ฮอนดูรัส ไปเสียอีก ทำให้กุนซือกระหม่อมบาง อีริคส์สัน ต้องโดนเด้งไปโดยปริยาย และแทนที่ด้วยการคุมทีมของโค้ชคนใหม่ "เอล วาสโก" ฮาเวียร์ อกีร์เร่ ซึ่งก็ประเดิมการคุมทีมไม่สวยอีกเช่นกัน พ่ายให้กับทีม เอล ซัลวาดอร์ ไป 1-2 แต่พอหลังจากนั้น ก็กลับมาเป็นทีมจังโก้ ที่น่ากลัวเช่นเดิม ด้วยการลงแข่งไม่แพ้ใครถึง 12 นัด รวมทุกรายการ(อุ่นเครื่องด้วย) และเป็นชัยชนะถึง 10 นัดด้วยกัน! โดยเฉพาะ ผลงานที่สร้างชื่อให้กับโค้ช เอล วาสโก เป็นอย่างมาก นั่นคือ ทัวร์นาเม้นต์คั่นรายการ คอนคาเคฟ โกลด์ คัพ ที่เขาสามารถพาทีมคว้าแชมป์รายการนี้ไว้ได้ ก่อนจะทำได้อันดับสอง คว้าตั๋วไปเล่นบอลโลกรอบสุดท้ายทีแอฟริกาใต้ตามระเบียบ ซึ่งนัดที่ 13 ที่เขาแพ้นั้น เป็นการแข่งอุ่นเครื่อง โดยเจอกับทีม โคลอมเบีย แล้วพ่ายไป 1-2 แต่ถ้าวัดกันในรายการใหญ่ โค้ชอกีร์เร่ ยังคุม ทีมไม่แพ้ใครเลย ในขณะนี้
นักเตะที่ต้องจับตา
สตาร์จอมเก๋า เคาห์เตม็อก บลังโก้ ยังคงเป็นเสาหลักของทีมชุดนี้ แม้วัยจะล่วงเลยมา 36 ปีแล้วก็ตาม จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของทีมชุดนี้ไปแล้ว และยังช่วยประคองนักเตะดาวรุ่งอย่าง กิลแยร์โม่ โอชัว, เอฟราอิน ฮัวเรซ , อันเดรส กวาร์ดาโด้ และ จิโอวานนี่ ดอส ซานโต๊ส ให้ค้นพบกับฟอร์มที่ดีที่สุดของตัวเองอีกด้วย เช่นเดียวกับ ราฟาเอล มาร์เกซ กัปตันทีม ที่หากไม่เจ็บไม่ตายยังไงก็ติดทีมไปลุยฟุตบอลโลก 2010 แน่นอน
กุนซือ
ฮาเวียร์ อกีร์เร่ ถือว่าเป็นกุนซือชาวเม็กซิโกที่ปรสบความสำเร็จที่สุดในยุคนี้ เขาพา ปาชูก้า ได้แชมป์ปี 1999 ก่อนจะรับจ๊อบคุมทีมชาติเม็กซิโกหนแรกในทัวร์นาเม้นต์ฟุตบอลโลกปี 2002 ที่ญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพร่วม ก่อนที่จะตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายเมื่อพ่ายต่อ สหรัฐฯ
จากนั้นเขาก็ข้ามฟากไปรับ คุมทีมในสโมสรยุโรปกับ โอซาซูน่า และพาทีมเข้าไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่น 2005/06 ก่อนที่จะรับงานใหญ่คุมทีม แอตเลติโก มาดริด พาทีม “ตราหมี” จบอันดับ 4 แต่ก็คุมทีมได้เพียงครึ่งฤดูกาลเท่านั้นในปีถัดมา และกลับมาช่วยเม็กซิโก กู้วิกฤติพาทีมเข้ารอบสุดท้ายลุยแดนซาฟารีได้อีกครั้ง
ฟุตบอลโลกที่ผ่านมา
- เม็กซิโก ผ่านเข้ารอบได้ทั้งหมด 14 ครั้ง มากกว่าทีมใดในโซนคอนคาเคฟด้วยกัน
- เม็กซิโก ทำผลงานได้ดีที่สุดในฟุตบอลโลกปี 1970 และ 1986 ที่ตัวเองเป็นเจ้าภาพ ซึ่งผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายได้ทั้ง 2 ครั้ง
- ในศึกฟุตบอล โลกที่ แอฟริกาใต้ เป็นครั้งที่ 5 ติดต่อกันแล้ว ที่ขุนพล “จังโก้” สามารถเข้าสู่รอบสุดท้าย โดย 4 ครั้งก่อนหน้าทำได้เพียงแค่รอบ 16 ทีมสุดท้าย
เกียรติประวัติ
ไม่มี
วาทะ
“ผมรู้สึกผ่อนคลาย เมื่อไรก็ตามที่เราถึงเป้าหมาย คุณย่อมมีความพึงพอใจที่รู้ว่าคุณไม่ได้ทำให้คนที่ศรัทธาในตัวคุณผิดหวัง ผมรู้สึกมีความสุขและภาคภูมิใจกับมัน ตอนที่คุณมาทำงาน เราอยู่ที่ 5 และห่างจากจ่าฝูงถึง 9 แต้ม และตอนนี้เราผ่านเข้ารอบสุดท้ายสำเร็จ” ฮาเวียร์ อกีร์เร่ กล่าวเมื่อจบอันดับ 2 ในโซน คอนคาเคฟ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น