วันพุธที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

นับถอยหลังWorldcup 2010

ทีมเด่น ทีมเต็งในแต่ละกลุ่ม
กลุ่ม ดี





เยอรมัน

แชมป์โลกสามสมัยอย่างทีม อินทรีเหล็กเยอรมัน เดิมทางมายังแอฟริกาใต้ด้วยความคาดหวังอย่างสูงจากสื่อมวลชนเหมือนทุกครั้ง ที่ลงแข่งขันรายการใหญ่ๆ หลังจากเคยครองแชมป์ที่สวิตเซอร์แลนด์เมื่อปี 1954, ที่เยอรมันบ้านของตัวเองเมื่อปี 1974 และ ที่อิตาลีเมื่อปี 1990 ซึ่งทาง โยอัคคิม เลิฟ บุนเดสเทรนเนอร์ของทีมชุดนี้ก็หมายมั่นปั้นมือที่จะเห็นทีมของตัวเองคว้า แชมป์โลกเป็นสมัยที่ 4 ให้ได้

โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านประเทศที่นิยมชมชอบการดื่มเบียร์ทำผลงานในการแข่งขันฟุตบอลรายการ ใหญ่ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการได้ รองแชมป์โลกในปี 2002 ที่เกาหลีใต้และญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพร่วม หลังพ่ายให้กับทีมชาติบราซิลในรอบชิงชนะเลิศ จากนั้นสี่ปีต่อมากลับมาเป็นเจ้าภาพที่บ้านของตนเอง แม้ว่าจะได้เพียงแค่อันดับที่สาม รวมถึงการชิงแชมป์ทวีปอย่างศึก ยูโร 2008 ก็สามารถผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศ แต่ก็โชคร้ายเมื่อพ่ายให้กับสเปน จึงได้เป็นเพียง พระรองของรายการเท่านั้น

เส้นทางสู่ แอฟริกาใต้

ในรอบคัดเลือกเยอรมัน อยู่ในกลุ่ม 4 ทีม อินทรีเหล็กเสียแต้มให้กับคู่แข่งแค่ 2 เกม คือนัดที่พบกับ ฟินแลนด์ ทั้งเหย้าและเยือน โดยเกมแรกบุกไปเสมอ 3-3 ถึงกรุงเฮลซิงกิ ซึ่งเป็น มิโรสลาฟ โคลเซ่ ทำแฮตทริกฮีโร่ในเกมนั้นด้วย และกลับมาเสมอกันอีกครั้งที่ฮัมบูร์ก 1-1 ในเกมสุดท้ายของรอบคัดเลือก แต่ด้วยฟอร์การเล่นี่ยอดเยี่ยมเยอรมันผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายด้วยการเป็น อันดับที่ 1 ของกลุ่ม ทิ้งทีมอันดับรองลงมาอย่าง รัสเซีย, ฟินแลนด์, เวลส์, อาเซอร์ไบจาน และ ลิกเตนสไตน์ ตกรอบไป

สองเกมที่สร้างความประทับใจให้ทีมชาติเยอรมันก็คือการชนะรัสเซียทั้งไปและ กลับ ซึ่งเป็นการแย่งเข้ารอบกันของทั้งสอง และเกมที่สุดสำคัญในนัดก่อนสุดท้ายเมื่อขุนพลอินทรีเหล็กบุกไปชนะรัสเซีย 2-1 ถึงมอสโก นับเป็นเกมแรกที่รัสเซียพลาดท่าแพ้ในศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก ก่อนจะพลาดท่าแพ้สโลเวเนียในรอบเพลย์ออฟตกรอบไปอย่างน่าเสียดาย รูปแบบการเล่นภายใต้การคุมทัพของ โยอาคิม เลิฟ เน้นเกมบุกที่ดุดันมากขึ้น และก็เป็นความต่อเนื่องมาจากชุดของ เจอร์เก้น คลิ้นส์มันน์ ในปี 2006 ที่ปรับโฉมการเล่นแบบใหม่ให้กับเยอรมัน

นักเตะที่ต้อง จับตา

มิชาเอล บัลลัค จอมทัพจากทีม สิงโตน้ำเงินครามเชลซี ยังเป็นหัวใจหลักในอดนกลางของทีมเหมือนเดิม โดยกัปตันทีมวัย 33 ปี รับใช้ทีมชาติมาแล้ว 97 ครั้ง และพยายามอย่างเต็มที ที่จะพาทีมชาติของตัวเองคว้าแชมป์โลกมาครองให้ได้ หลังพลาดมาหลายครั้งในฟุตบอลรายการใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น รองแชมป์โลกปี 2002 และ รองแชมป์ฟุตบอลยูโร 2008 เชื่อว่าศึกลูกหนังที่แอฟริกาใต้ครั้งนี้ จะเป็นโอกาสสุดท้ายของเขากับศึกฟุตบอลโลก เพราะเข้าสู่ช่วงปลายชีวิตนักเตะของเจ้าตัวนั่นเอง

นอกจากนี้ยังมี มิโรสลาฟ โคลเซ่ ยอดดาวยิงเจ้าของสถิติ 48 ประตู จาก 94 นัด ทำให้ศูนย์หน้ารายนี้กลายเป็นดาวซัลโวตลอดกาลอันดับที่ 2 ทีมชาติเยอรมัน ตามหลัง แกร์ด มุลเลอร์(68 ประตู) และดาวยิง เจ้าเวหาจากสโมสร บาเยิร์น มิวนิค ก็คงเป็นที่ถูกจับตาอย่างมากในทัวร์นาเมนต์นี้ หลังจากครองตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดของรายการเมื่อปี 2006 ขณะที่เพื่อนร่วมสโมสรอย่าง ฟิลิปปส์ ลห์ม และ บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ ก็ถูกจับตาไม่แพ้กัน

กุนซือ

โยอาคิม เลิฟ เริ่มงานด้วยการเป็นผู้ช่วยของ เจอร์เก้น คลิ้นส์มันน์ ในฟุตบอลโลก 2006 ก่อนที่จะรับบทบาทเป็นนายใหญ่ของ "อินทรีเหล็ก" เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2006 โดยบุนเดสเทรนเนอร์วัย 49 ปี ก็สานต่อแนวทางของ คลิ้นส์มันน์ ด้วยการหันมาเล่นเกมรุก และปรับเกมรับของทีมให้มีความสมดุลมากขึ้น เขาเจอบททดสอบที่สำคัญในก็คือศึกฟุตบอลบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปเมื่อปี 2008 และก็ไม่ทำให้แฟนๆต้องผิดหวัง แม้ว่าจะได้เพียงแค่ตำแหน่งรองแชมป์มาครองก็ตาม และมาครั้งนี้ ก็จะเป็นเวทีใหญ่สำหรับเขาอีกครั้งว่าจะยังทำผลงานได้ดีแค่ไหน

ฟุตบอล โลกที่ผ่านมา

- เยอรมัน ได้แชมป์โลกทั้งหมด 3 ครั้ง(1954, 1974, และ 1990) มีเพียงแค่ เพียงแค่ บราซิล(5) และ อิตาลี (4) ที่ได้แชมป์มากกว่า
- ในปี 1930 และ 1950 เพียง 2 ครั้งเท่านั้น ที่เยอรมันไม่สามารถผ่านเข้ามาเล่นรอบสุดท้าย
- เยอรมันเข้ารอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกทั้งหมด 7 ครั้ง เท่ากับ ทีมชาติบราซิล
- เยอรมันแข่งยิงลูกโทษในศึกฟุตบอลโลกทั้งหมด 4 ครั้ง และชนะได้ทั้งหมด

เกียรติประวัติ

- แชมป์ ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ 3 สมัย : 1954 , 1974 , 1990
- แชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป (ยูโร) : 1972, 1980, 1996

วาทะ

"เราเคยประสบความสำเร็จมาในอดีต และนั่นเป็นแรงบันดาลใจให้นักเตะรุ่นหลัง คุณแค่ดูสถิติที่เยอรมันเคยชนะเลิศในรายการใหญ่ๆ เราคว้าแชมป์โลกในปี 1954, 1974, และ 1990 รวมทั้ง ยูโร 1975, 1980 และ 1996 เราสามารถทะลุเข้ารอบลึกๆได้อยู่บ่อยครั้ง ครั้งนี้เราก็เชื่อว่าทีมของเราดีพอที่จะผ่านเข้าชิงชนะเลิศ เพราะสองรายการสำคัญที่ผ่านมาล่าสุด เราได้อันดับที่ 3 ในบ้านเราเมื่อปี 2006 ก่อนที่จะได้รองแชมป์ยูโร 2008 ดังนั้นเป้าหมายของเราก็คือคว้าแชมป์โลก 2010" ฟิลลิปป์ ลาห์ม ฟูลแบ็กตัวเก่งของทีมกล่าว






ออสเตรเลีย

หาย หน้าหายตาไปจากเวทีใหญ่ 32 ปี ออสเตรเลีย ก็กลับมาทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจในฟุตบอลโลก 2006 โดยเข้าสู่รอบน็อกเอาต์ ก่อนจะตกรอบแบบน่าเจ็บใจ ด้วยลูกที่จุดโทษนาทีสุดท้ายของอิตาลี ทีมแชมป์ของทัวร์นาเมนต์ ตอนนี้ ออสเตรเลีย ยังอยู่ภายใต้การนำของโค้ชชาวฮอลแลนด์ เพียงแต่เปลียนจาก กุส ฮิดดิ้งก์ มาเป็น พิม เวอร์บีค ที่ยังคงยึดทีมชุดฟุตบอลโลก 2006 ที่เยอรมันเป็นแกนหลักของทีม
รอบคัดเลือกคราวนี้ ออสเตรเลีย ข้ามโซนมาเล่นทางฝั่งเอเชีย และก็เข้ารอบสุดท้ายแบบไม่ต้องดิ้นรนใจหายใจคว่ำเหมือนเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ที่โปรแกรมเล่นน้อยกว่ากันเยอะ

เส้นทาง สู่แอฟริกาใต้

ทีมลูกหนังแดนจิงโจ้ ทำผลงาน 14 นัดของรอบคัดเลือกโซนเอเชียได้อย่างน่าประทับใจ โดยเอาชนะยอดทีมของเอเชียชาติต่างๆ และได้เป็นแชมป์ของกลุ่มที่ 1 และยังเป็นชาติแรกๆ ที่เข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลก โดยรอบคัดเลือกรอบแรก ออสเตรเลีย ทำได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นกัน โดยจบด้วยการเป็นแชมป์กลุ่ม มีคะแนนเหนือทีมอย่างกาตาร์, จีน และแชมป์ของทวีปอย่างอิรัก แม้ว่าจะแพ้ 2 ทีมหลัง รอบคัดเลือกรอบสุดท้าย แต่ด้วยแท็คติกของกุนซือ พิม เวอร์บีค ทำผลงานไม่แพ้ใคร 8 นัด จึงมีแต้มมากกว่าญี่ปุ่นถึง 5 คะแนน และทิ้งห่างทีมอย่างบาห์เรน, กาตาร์ และอุซเบกิสถาน

นักเตะ ที่ต้องจับตา

ทิม เคฮิลล์ คือดาวเด่นทีมชาติออสเตรเลีย โดย มิดฟิลด์ตัวรุกจากสโมสรเอฟเวอร์ตัน มีสถิติการยิงประตูที่เรียกว่าดีกว่ากองกลางหลายๆคน และหาพื้นที่เข้าทำประตูจากลูกโหม่งทั้งที่เป็นผู้เล่นที่ไม่ได้สูงมากนัก นอกจากนั้นออสเตรเลีย ยังมีปีกฝีเท้าดีอย่าง แฮร์รี่ คีเวลล์ และ เบร็ตต์ เอเมอร์ตัน และเกมตรงกลางสนาม มี วินต์ เกรลล่า กับ เจสัน คูลิน่า ที่ประสานงานกันได้อย่างลงตัว ถอยลงไปที่แนวรับมีนักเตะประสบการณ์สูงอย่าง ลูคัส นีลส์ และ มาร์ค ชวาร์เซอร์ นายทวารจอมเก๋าจากฟูแล่มที่ ช่วยให้ทีมเสียแค่ 4 ประตู และทำสถิติไม่เสียประตู 7 นัดติดต่อกัน ในการเล่นรอบคัดเลือก

กุนซือ

เส้นทางของ พิม เวอร์บีค คล้ายกับ โยอาคิม เลิฟ ของทีมชาติเยอรมัน เพราะหลังจากที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของกุส ฮิดดิ้งค์ มานาน พิม เวอร์บีค ได้เลื่อนขึ้นขึ้นมาเป็นโค้ชใหญ่ โดยคุมทีมชาติเกาหลีใต้ทำศึกเอเอฟซี เอเชี่ยน คัพ ปี 2007 ก่อนจะรับตำแหน่งโค้ชทีมชาติออสเตรเลีย เดือนธันวาคม 2007 หรือก่อนรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2010 ไม่นาน สไตล์ของเขาก็คือเป็นกุนซือที่เล่นเพื่อผลการแข่งขัน เน้นเกมรับแข็งแกร่ง และมีการโจมตีจากปีกทั้งสองข้างที่เป็นไม้เด็ด

ฟุตบอลโลก ที่ผ่านมา

ออสเตรเลียร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายแค่ 2 ครั้ง ก็คือปี 2006 และ 2010 ที่จะมาถึง หลังจากที่ประเดิมเล่นรอบสุดท้ายเป็นครั้งแรกในปี 1974 ที่คราวนั้นมีแต่นักเตะสมัครเล่น แต่ก็เล่นไม่ขี้เหร่ แม้จะตกรอบแรก จากนั้นต้องรอถึง 32 ปีกว่าจะได้กลับมาโลดแล่นในเวทีฟุตบอลโลก และการกลับมาเล่นรอบสุดท้ายอีกครั้งที่เยอรมัน ออสเตรเลีย ได้อันดับ 2 ของรอบแบ่งกลุ่มตามหลังบราซิล และรอบ 16 ทีมสุดท้าย ก็มีลุ้นที่จะเข้ารอบเช่นกัน ก่อนจะมาแพ้อิตาลีเพราะจุดโทษช่วงทดเวลาบาดเจ็บ

เกียรติ ประวัติ

-ไม่มี

วาทะ

"ฟุตบอลโลกคราวหน้าต้องให้ดีกว่าที่ผ่านมา เราต้องทำเป้าหมายให้สูงกว่าเดิม ผมเองที่คิดแบบนี้ และเชื่อว่านักเตะก็เช่นกัน " พิม เวอร์บีค กุนซือของทีมกล่าว



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น