วันพุธที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

นับถอยหลังWorldcup 2010

ทีมเด่น ทีมเต็งในแต่ละกลุ่ม
กลุ่ม อี





ฮอลแลนด์


"อัศวินสีส้ม" ฮอลแลนด์ นับได้ว่าเป็นยอดทีมฟุตบอลที่สุดแสนจะอาภัพบนเส้นทางสายฟุตบอลโลก ที่พูดแบบนั้นก็เพราะว่ายอดทีมจากแดนยุโรปทีมนี้ยังไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัส ถ้วยเวิล์ดคัพแม้เพียงสักครั้งเดียว ทั้งๆที่ยอดทีมจากแดนกังหันทีมนี้มีโอกาสเข้าชิงชนะเลิศในรายการนี้ถึง 2 ครั้ง 2 ครา ครั้งแรกคือการพ่ายแพ้ต่อ ทีมเจ้าภาพ เยอรมันตะวันตกในปี 1974 แบบฉิวเฉียด 2-1 และอีก 4 ปีต่อมา ฝันร้ายเจ้าบ้านก็กลับมาหลอกหลอนพวกเขาเหล่า"อัศวินสีส้ม" ฮอลแลนด์อีกหน เมื่อพวกเขาต้องแพ้ต่อเจ้าบ้านอีกครั้ง โดยครั้งนี้เป็นการแพ้ต่ออาร์เจนติน่าไป 3-1 ในปี 1978 หลังจากนั้นเป็นเวลาเกือบ 10 ปี ทีมชาติฮอลแลนด์ก็ยังไม่เคยเข้าใกล้ความสำเร็จ จนกระทั่งในปี 1988 ภายใต้การนำทีมของ มาร์โก แวน บาสเท่น ฮอลแลนด์ก็กลับมาผงาดได้อีกครั้ง ด้วยการคว้าแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปมาครองได้สำเร็จ ด้วยการเอาชนะสหภาพโซเวียตไปได้ 2-0 แต่หลังจากหมดยุคของ แวน บาสเท่น แล้วฮอลแลนด์ก็กลับไปสู่วังวนเดิมอีกครั้ง โดยผลงานที่ดีที่สุดหลังยุดของแวน บาสเท่น ก็คือการคว้าอันดับ 4 ในฟุตบอลโลกที่ฝรั่งเศส

ฮอลแลนด์ เป็นทีมที่มีเกมรุกหวือหวา ใช้การต่อบอลที่แม่นยำในการเข้าทำที่เรียกว่า "โทเทิ่ลฟุตบอล" จนครั้งครั้งหนึ่งทีมชาติฮอลแลนด์ถูกขนานนามว่า "Clockwork Orange"
ในฟุตบอลโลกครั้งนี้ฮอลแลนด์ภายใต้การนำทัพของ เบิร์ท ฟาน มาร์ไวจ์ ผู้จัดการทีมคนปัจจุบันได้รับการคาดหวังไว้มาก เนื่องจากเขาเป็นผู้ดึง"ทัพสีส้ม"ขึ้นมาจากความผิดหวัง ที่ไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลยูโร 2008 รอบสุดท้าย ให้กลับมาอยู่บนเส้นทางของยอดทีมได้สำเร็จ
เส้นทาง สู่แอฟริกาใต้ เวิล์ดคัพ 2010
ในรอบคัดเลือก เวิล์ดคัพ 2010 เส้นทางของฮอลแลนด์ดูจะง่ายดาย เมื่อได้มาอยู่ในกลุ่ม 9 ร่วมกับนอร์เวย์ สก็อตแลนด์ มาซิโดเนีย และไอซ์แลนด์ ที่ไม่ใช่ทีมหิน และแข็งแกร่งมากนักและผลที่ออกมาก็เป็นไปตามคาด เมื่อมาร์ไวจ์สามารถนำลูกทีมของเขาผ่านเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลก 2010 โดยปราศจากริ้วรอย ชนะรวดทั้ง 8 เกม โดยยิงประตูคู่แข่งไปถึง 18 ประตู และเสียเพียงแค่ 2 ประตูเท่านั้น โดยประตูที่เสียทั้ง 2 ประตูของพวกเขาก็มาจากการเล่นเป็นทีมเยือนทั้งสิ้น
ผู้ จัดการทีม
เบิร์ท ฟาน มาร์ไวจ์ กุนซือผู้เข้ามากอบกู้ทีมชาติฮอลแลนด์จากยุคตกต่ำ ที่ย่ำแย่ถึงขนาดตกรอบฟุตบอลยูโรรอบคัดเลือก ให้กลับมามีลุ้นในฟุตบอลโลก 2010 อีกครั้ง ก่อนหน้าที่เขาจะเข้ามาคุมทีมชาติฮอล์แลนด์ กุนซือผู้มากความสามารถผู้นี้เคยคุมทีมเฟเนยูร์ด ทีมดังแห่งลีกฮอลแลนด์ คว้าแชมป์ยูฟ่าคัพได้ในปี 2001-2002 ก่อนที่จะย้ายไปทำทีมโบรุทเซีย ดอร์ทมุนด์ในเยอรมันเมื่อปี 2004 แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่ใครหลายคนคาดไว้ ดังนั้นเขาจึงย้ายกลับไปเฟเนยูร์ดรังเก่าของเขาในปี 2006 อีกครั้งหนึ่ง และเขาสามารถคว้าแชมป์เคเอนวีบี คัพ ได้ตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่เขากลับมายังฮอลแลนด์ จนในที่สุดเมื่อฮอลแลนด์ภายใต้การทำทีมของอดีตศูนย์หน้าพรายกระซิบ มาร์โก ฟาน บาสเท่น ทำผลงานได้ย่ำแย่ ตกรอบคัดเลือกศึกยูโร 2008 มาร์ไวจ์ จึงเป็นตัวเลือกแรกที่ ฮอลแลนด์เลือกเข้ามาแก้ไขปัญหา และกอบกู้ทีมชาติฮอลแลนด์ขึ้นมา จนถึงทุกวันนี้
ดาวเด่น ประจำทีม
นอกจากนักเตะจอมเก๋า เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ผู้รักษาประตูจอมหนึบของทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และรุด ฟาน นิสเตลรอย กองหน้าของทีมฮัมบูร์ก ที่อาจจะได้รับโอกาสติดทีมชาติชุดนี้แล้ว ทีมของมาร์ไวจ์ก็ยังมีสตาร์ดังอีกมากมายที่สามารถพลิกเกมได้ตลอดเวลาอยู่ใน ทีม ไม่ว่าจะเป็น อาร์เยน ร็อบเบน ปีกจอมขับเคลื่อนความเร็วสูง, โยริส มาธิจเซ่น เซนเตอร์แบ็คผู้โด่งดังมาจากทีมวิลเลี่ยม ทเว, อังเดร ออยเยอร์ ปราการหลังวัย 35 ปี, เดิร์ก เค้าท์ ถอมถึกเจ็บยาก ของลิเวอร์พูล, มาร์ค ฟาน บอลเมล ลูกบุญธรรมของมาร์ไวจ์ เพลย์เมคเกอร์ของ บาเยิร์น มิวนิค, คลาส แยน ฮุนเตล่าร์ ผู้มีสไตย์การเล่นเดิมตามรอย นิสเตลรอย และ โจวานนี่ ฟาน บรองฮอร์ท จอมเก๋าจาก เฟเยนูร์ด ซึ่งนับเป็นมรดกตกทอดมาตั้งแต่ยุคของ ฟาน บาสเท่น อีกทั้งทีมชุดนี้ยังมีผู้เล่นรายอื่นที่กำลังโชว์ฟอร์มได้อย่างน่าประทับใจ อยู่ในขณะนี้ เช่น ราฟาเอล ฟาน เดอร์ ฟาร์ท, โรบิน ฟาน เพอร์ซี่, ไนเกล เดอ ยอง และ เวสลี่ย์ ชไนเดอร์ อีกด้วย
บอลโลก ที่ผ่านมา
8 ครั้ง ที่ฮอลแลนด์ได้ผ่านเข้าไปเล่นรอบสุดท้ายในฟุตบอลโลก ผลงานที่ทีม"สีส้ม" ทำได้ดีที่สุดนั้น คือคว้าตำแหน่งรองชนะเลิศฟุตบอลโลก ในปี 1974 ที่เยอรมันตะวันตก ผู้เป็นเจ้าภาพ ยิงแซงชนะ 2-1 และ ปี 1978 ที่โดนเจ้าภาพ อาร์เจนติน่า ยิงแซงในช่วงทะเวลา เอาชนะไป 3-1 นอกเหนือจากนั้นก็ไม่เคยเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศแต่อย่างใด มีเพียงปี 1998 ที่ฝรั่งเศส ที่พวกเขาทำได้อันดับ 4 เพราะชิงที่ 3 แพ้สเปนไปอย่างน่าเสียดาย
รางวัล เกียรติยศ
คว้าแชม ยูโรเปี้ยน แชมเปี้ยนชิพ 1 สมัย ปี 1988
วาทะเด็ด
"พวกเรามีภารกิจ ซึ่งภารกิจที่เราต้องทำนั่นก็คือ คว้าแชมป์โลกให้ได้" แฟรงค์ เดอบัวร์ อดีตยอดขุนพลแดนหลังของเนเธอร์แลนด์ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้ช่วยโค้ช กล่าวเอาไว้สั้นๆ




เดนมาร์ก
ห่างหายไปจากทัวร์นาเมนต์ใหญ่ๆไปถึง 6 ปี นับตั้งแต่ฟุตบอลโลกปี 2006 ที่เยอรมัน และ ฟุตบอลยูโร 2008 ที่ออสเตรียกับสวิตเซอร์แลนด์เป็นเจ้าภาพร่วม แต่สุดท้าย"เทพนิยายเดนส์"ก็กลับมาอีกครั้งในหน้าร้อนปีหน้าที่แอฟริกาใต้
"โคนม"เป็นทีมที่นับได้ว่า มีสถิติที่ยอดเยี่ยมในรอบสุดท้ายของรายการระดับเมเจอร์ เนื่องจาก 3 ครั้งหลังสุดในศึกฟุตบอลโลก พวกเขาสามารถทะลุไปเล่นรอบ 16 ทีมสุดท้าย 2 ครั้ง และ 8 ทีมสุดท้ายอีกหนึ่งครั้ง อีกทั้งพวกเขายังสามารถสร้างตำนาน "เทพนิยายเดนส์" ด้วยการผงาดคว้าแชมป์ยุโรปในปี 1992 แบบช็อกคนทั้งโลกได้อีกด้วย
เดนมาร์กเป็นประเทศเล็กประชากรน้อย แต่เต็มไปด้วยความคลั่งไคล้ในเกมลูกหนัง ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ "โคนม" ประสำเร็จในจุดที่น่าพอใจทุกครั้ง ที่พวกเขาได้มาโชว์เพลงเตะในรายการนี้ ในปี 1998 ที่ฝรั่งเศส เดนมาร์กเล่นกันได้อย่างยอดเยี่ยมในรอบ 8 ทีมสุดท้าย แต่พวกเขาแพ้ให้กับบราซิลอย่างโชคร้าย 2-3
ทั้งนี้ทั้งนั้น การกลับมาของพวกเขาครั้งนี้ น่าจะช่วยเพิ่มแรงจูงใจ และเป็นยากระตุ้นชั้นดี ให้กับทีมดังจากดินแดนสแกนดิเนเวียอีกครั้ง ทั้งยอน ดาห์ล โทมัสสัน กัปตันทีม และบรรดาแข้งดังของเดนส์ทั้งหลาย กำลังใจจดใจจ่อที่จะได้โลดแล่นบนถนนสายแอฟริกาใต้อีกครั้งหนึ่ง
เส้นทาง สู่แอฟริกาใต้ เวิล์ดคัพ 2010
หลังจากถูกจับไปอยู่ในกลุ่มค่อนข้างแข็ง ที่มีทั้งโปรตุเกส และสวีเดน แต่"โคนม"ก็ทำผลงานได้อย่างสุดยอด ผ่านเข้ารอบมาเป็นอันดับที่หนึ่งของกลุ่ม และแพ้แค่ครั้งเดียวจากทั้งหมด 10 เกม
แมทช์ที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ น่าจะเป็นเกมที่เอาชนะโปรตุเกส 3-2 ถึงแดนฝอยทอง และ เสมอ 1-1 อีกครั้งในบ้านตัวเอง ซึ่ง 4 แต้มจาก 2 เกมนี้ มีผลต่อการเข้ารอบของเดนมาร์กเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังมีทีเด็ดเก็บ 6 คะแนนเต็ม เหนือสวีเดนคู่แข่งเรือนเคียงได้ทั้งไปและกลับ ด้วยประตู 1-0 ทั้งสองเกม
ผู้จัดการทีม
มาร์ติน โอลเซ่น กำลังจะหมดสัญญาคุมทีม หลังจบศึกฟุตบอลโลกที่แอฟริกาใต้ หลังจากกุนซือคนเก่งเข้ามารับงานตั้งแต่ปี 2000 และสามารถพาทีมไปลุยศึกฟุตบอลโลก 2002 ที่เกาหลี/ญี่ปุ่น และ ยูโร 2004 ที่กรีซ
โอลเซ่น เคยเป็นยอดลิเบอร์โล่มาก่อนในสมัยยังเป็นนักเตะ เล่นให้ทั้ง โคโลญจ์ ในเยอรมัน และ อันเดอร์เลชท์ และที่นี่เอง เขาสามารถพาต้นสังกัดในเบลเยี่ยมคว้าแชมป์ยูฟ่าคัพ ในปี 1993 ได้อีกด้วย หลังจากนั้น โอลเซ่น ก็แขวนสตั๊ดในวัย 40 ปี ก่อนที่จะผันตัวเองเป็นโค้ชในเวลาต่อมา
ดาวเด่นประจำ ทีม
เดนมาร์กชุดนี้ มีผู้เล่นที่น่าจับตามองหลายคนทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น ยอน ดาห์ล โทมัสสัน จากเฟเยนูร์ด, คริสเตียน โพลเซ่น จากยูเวนตุส, ดาเนี่ยล แอ็กเกอร์ จากลิเวอร์พูล และเดนนิส รอมเมดาห์ล จากอาแจ็กซ์ฯ รวมไปถึงดาวรุ่งอย่าง นิคลาส เบนท์เนอร์ หัวหอกร่างยักษ์จากอาร์เซน่อลอีกด้วย
สถิติในฟุตบอล โลกที่ผ่านมา
- บอลโลกที่แอฟริกาใต้คราวนี้ จะเป็นการเข้ามาเล่นรอบสุดท้ายครั้งที่ 4 ของทีมชาติเดนมาร์ก
- ทะลุถึงรอบ 16 ทีมสุดท้าย ในปี 1986 และ 2002, และรอบ 8 ทีมสุดท้ายในปี 1998
สถิติ
-ได้แชมป์ ยูโร 1992 ก่อนที่จะคว้าแชมป์คอนเฟดเดอเรชั่นคัพในปี 1995
วาทะ
"ฟุตบอลโลกเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่เสมอ โดยเฉพาะการได้เล่นในทวีปแอฟริกา มันเป็นอะไรที่สุดวิเศษ เพราะจะทำให้รู้จักความแตกต่างของผู้คนที่นั่นอย่างที่ไม่เคยผ่านมาก่อน แต่ฟุตบอลโลกทุกครั้ง มักจะมีอะไรที่พิเศษภายในเฉพาะของแต่ละชาติอยู่แล้ว เหมือนเมื่อครั้งที่เอเชียเมื่อปี 2002 มันช่างเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมสำหรับทุกๆคน สำหรับผม และ นักเตะ" มาร์ติน โอลเซ่น ผู้จัดการทีมชาติเดนมาร์ก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น