วันพุธที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

นับถอยหลังWorldcup 2010

ทีมเด่น ทีมเต็งในแต่ละกลุ่ม
กลุ่ม เอฟ





อิตาลี

อิตาลี แชมป์เก่าเมื่อ 4 ปีที่แล้ว จัดเป็นหนึ่งในทีมเต็งที่มีโอกาสได้สัมผัสถ้วย ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ ประจำฟุตบอลโลก 2010 ที่ประเทศแอฟริกาใต้ หนนี้มากที่สุด นอกจากนี้ อิตาลี ยังเป็นเพียง 1 ใน 2 ทีม ร่วมกับบราซิล ที่เคยป้องกันแชมป์ฟุตบอลโลกได้สำเร็จด้วย และในฟุตบอลโลกนี้ ลูกทีมของ มาร์เชลโล่ ลิปปี้ จะได้พิสูจน์ให้เห็นกันว่า พวกเขาจะทำได้เหมือนกับนักเตะรุ่นก่อนที่สามารถคว้าแชมป์ได้ 2 ครั้งติดต่อกันในปี 1934 และ 1938 หรือไม่

เส้นทางสู่ แอฟริกาใต้

ถึงแม้ว่า อัซซูรี่อิตาลี จะเพิ่งผิดหวังมาจากศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 มาก่อนหน้านี้ ทว่าในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกโซนยุโรป ซึ่งพวกเขาอยู่ในกลุ่ม 8 ที่ผ่านมา พวกเขาจบด้วยการเป็นอันดับที่ 1 ของกลุ่ม โดยที่มีผลงานชนะ 7 นัด เสมอ 3 นัด ยิงได้ 18 เสีย 7 ประตู

อิตาลี เริ่มต้นรอบคัดเลือกด้วยการเอาชนะ ไซปรัส 2-1 หลังจากนั้น พวกเขาก็ยึดอันดับ 1 ของกลุ่มมาตลอด แต่ก็ใช่ว่าการเข้ารอบของพวกเขาจะเป็นไปแบบง่ายดาย เพราะกว่าที่พวกเขาจะสามารถการันตีการผ่านเข้ารอบสุดท้าย ก็จนกระทั่งเหลือเพียงแค่ 1 นัดก่อนจะจบการแข่งขันรอบคัดเลือกเท่านั้น

ส่วนดาวซัลโวของทีมในรอบคัดเลือกที่ผ่านมา อัลแบร์โต้ จิลาร์ดิโน่ หัวหอกจากสโมสร ฟิออเรนติน่า คือผู้เล่นคนนั้น โดยเขาทำได้ทั้งสิ้น 4 ประตู และ 3 ลูกในนั้น คือแฮตทริกจากเกมที่เอาชนะ ไซปรัส 3-2 ในนัดสุดท้ายของรอบคัดเลือกที่ผ่านมานั่นเอง

นักเตะที่ต้อง จับตา

พูดถึงสตาร์ตัวเก่งของ ทีมชาติอิตาลี จานลุยจิ บุฟฟ่อน นายทวารตัวเก่งสโมสร ยูเวนตุส วัย 31 ปี จะต้องเป็นหนึ่งในนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย บุฟฟ่อนเป็นหนึ่ง ในผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดในโลกยุคปัจจุบันนี้ และยังเป็นแกนหลักสำคัญในแนวรับของอิตาลีในทีมชุดนี้ด้วย การเซฟลูกโหม่งชนิดไม่น่าเชื่อของ ซีเนอดีน ซีดาน เพลย์เมคเกอร์ทีมชาติฝรั่งเศสในช่วงต่อเวลาพิเศษรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 2006 ที่ผ่านมา บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าทำไมเขาถึงเป็นผู้รักษาประตูชั้นยอดของโลก

นอกเหนือจาก บุฟฟ่อน แล้ว ยังมี ฟาบิโอ คันนาวาโร่ ปราการหลังวัย 36 ปี กัปตันทีมคนสำคัญของทีมชาติอิตาลีชุดนี้ และอดีตเจ้าของรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของโลก 2006 ของฟีฟ่า ที่ผ่านมา นอกจากนี้เขายังเป็นผู้เล่นที่ติดทีมชาติเยอะที่สุดในทีมชุดปัจจุบัน โดยติดธงไปแล้วทั้งสิ้นด้วยกัน 130 นัด

ในแผงกองกลาง เจนนาโร่ กัตตูโซ่ ขาโหดจอมขยัน เป็นอีกหนึ่งนักเตะที่น่าจับตามองในทีมชุดนี้ ในเรื่องความสามารถของเขานั้น คงไม่ต้องบรรยายกันให้มากนัก ดาวเตะวัย 31 ปีรายนี้ยังคงเป็นผู้เล่นฟันเฟืองสำคัญในแดนกลาง รวมถึงเป็นหัวใจสำหรับทีมอัซซูรี่เลยทีเดียว อีกจุดเด่นที่สำคัญที่สุดของเขาก็คือ จิตใจที่ไม่เคยยอมแพ้ และเป็นแรงบันดาลใจแก่เพื่อนร่วมทีมอีกด้วย

กุนซือ

มาร์เชลโล่ ลิปปี้ เทรนเนอร์ทีมชาติอิตาลี จัดเป็นเทรนเนอร์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่ง และยังเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องของการแก้เกมให้ทีมด้วย โดยไม่ต่ำกว่า 5 จาก 12 ประตูที่ทำได้ในฟุตบอลโลกปี 2006 มาจากตัวสำรองที่เขาเปลี่ยนตัวลงไปทั้งสิ้น ภายหลังจากการประสบความสำเร็จดังกล่าว ลิปปี้ ก็ได้ตัดสินใจที่จะลาออกจากการคุมทีมชาติไปเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2006 ทว่าจากความตกต่ำของทีมชาติในศึก ยูโร 2008 ลิปปี้ ก็ได้กลับมาคุมทีมอีกครั้ง ซึ่งเขาได้เริ่มต้นสร้างแนวรับของทีมขึ้นมาใหม่แทบจะทันทีหลังจากที่เข้ารับ ตำแหน่ง แถมยังเปลี่ยนแปลงในแผงกองกลาง รวมไปถึงทดลองที่จะใช้กองหน้าใหม่ ๆ หลายต่อหลายคนอีกด้วย โดยเขานำทีมทำสถิติไม่พ่ายแพ้ให้กับใครถึง 31 นัด ซึ่งในความรู้สึกของเขา แท็กติกที่เขาใช้นั้นไม่ต้องเป็นที่สงสัยอะไรนั่นเอง

สำหรับการแข่งขันรอบคัดเลือกที่ผ่านมา มาร์เชลโล่ ลิปปี้ ได้ใช้นักเตะทั้งสิ้น 36 คนด้วยกัน โดย ฟาบิโอ คันนาวาโร่ และ จานลูก้า ซามบร็อตต้า คือผู้เล่นที่ได้ลงสนามมากที่สุดที่ 810 นาทีเท่ากัน

ฟุตบอลโลกที่ ผ่านมา

อิตาลี สามารถผ่านเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลกได้ทั้งสิ้น 16 ครั้ง จากทั้งหมด 18 ครั้ง ซึ่ง 2 ครั้งที่พวกเขาต้องพลาดไป คือปี 1930 และปี 1958 นั่นเอง โดย พวกเขาสามารถคว้าแชมป์โลกได้ถึง 4 สมัย นั่นคือ 1934 , 1938 , 1982 และ 2006 และจบด้วยตำแหน่งรองชนะเลิศปี 1970 กับ 1994 รวมไปถึงอันดับที่ 3 ในปี 1990 ที่พวกเขาเป็นเจ้าภาพด้วยนั่นเอง

เกียรติประวัติ

- แชมป์ ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ 4 สมัย : 1934 , 1938 , 1982 , 2006
- แชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป (ยูโร) : 1968
- แชมป์ฟุตบอลโอลิมปิคเกมส์ : 1936

วาทะ

ไม่มีทีมใดเหนือว่าอิตาลี ผมไม่ได้ต้องการพูดว่า พวกเราดีกว่าทุกทีม แต่คุณอาจจะพูดได้ว่า พวกเราไม่ได้ด้อยกว่าทีมอื่น ๆ เลยต่างหากมาร์เชลโล่ ลิปปี้ เทรนเนอร์ทีมชาติอิตาลี






ปารากวัย

ปารากวัย ทีมจากทวีปอเมริกาใต้ เวลานี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในทีมที่เล่นฟุตบอลได้ดี ที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ไปแล้ว หลังจากสามารถผ่านเข้าไปเล่นในมหกรรมลูกหนังที่ยิ่งใหญ่อย่างฟุตบอลโลก ได้ถึง 4 ครั้งติดต่อกัน และภายหลังการปรากฏโฉมหน้าเป็นครั้งแรกในฟุตบอลโลกเมื่อ 40 ปีก่อน ปารากวัย ก็ทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในฟุตบอลโลก 3 ครั้งที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 1998 ที่ฝรั่งเศส กับปี 2002 ที่เกาหลีใต้/ญี่ปุ่น ที่พวกเขาสามารถตะลุยผ่านเข้าไปถึงรอบ 16 ทีมสุดท้ายได้ ก่อนจะอกหักด้วยน้ำมือของ ฝรั่งเศส และ เยอรมนี ตามลำดับ นั่นถือว่าเป็นผลงานที่ดีที่สุดของพวกเขาเลยทีเดียว และในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 ณ แดนกาฬทวีป หนนี้ เป้าหมายของพวกเขาก็คือการผ่านรอบแบ่งกลุ่ม เพื่อเข้าไปเล่นในรอบตัดเชือกให้ได้ต่อไป
เส้นทางสู่ แอฟริกาใต้
ทีมชาติปารากวัย ภายใต้การคุมทีมของ เกราร์โด้ มาร์ติโน่ ยอดเทรนเนอร์ชาวอาร์เจนตินานั้น แทบจะไม่ได้พบกับอุปสรรคที่ใหญ่หลวง หรือหนักหนาแต่อย่างใดในรอบคัดเลือก พวกเขาสามารถผ่านเข้ารอบสุดท้ายได้ตั้งแต่ก่อนจบนัดสุดท้ายตามโปรแกรมในรอบ คัดเลือกถึง 2 นัด นอกจากนี้ในช่วงแรกของการแข่งขันรอบคัดเลือก พวกเขายังทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจ เมื่อเก็บชัยชนะได้ถึง 7 จากทั้งหมด 10 เกม ซึ่งรวมถึงนัดที่เอาชนะ บราซิล 1-0 ในบ้านของตัวเองด้วย แม้ว่าในช่วงท้ายพวกเขาจะทำผลงานได้แย่ลง แต่ก็ยังสามารถควบคุมสถานการณ์ และผ่านเข้ารอบสุดท้ายไปได้อย่างไม่มีปัญหา โดยทำคะแนนเข้ามาเป็นอันดับ 3 ตามหลัง บราซิล และ ชิลี ซึ่งคว้าอันดับ 1 และ 2 นั่นเอง
นักเตะที่ต้อง จับตา
มาร์ติโน่ สามารถเรียกใช้บริการผู้เล่นที่มีชื่อเสียงได้มากมาย และส่วนใหญ่จะเล่นอยู่ในลีกเม็กซิโกและลีกในยุโรป อย่างไรก็ตาม แม้ว่า ปารากวัย จะมีผู้เล่นที่เปี่ยมคุณภาพกระจัดกระจายไปหลายพื้นที่เช่นนี้ แต่ผู้เล่นที่มีชื่อเสียง และสำคัญที่สุดของพวกเขาก็มาจากนักเตะในตำแหน่งแดนหน้านั่นเอง
พูดถึงชื่อ โรเก้ ซานตา ครูซ ก็คงไม่จำเป็นต้องบรรยายอะไรกันให้มากความอีก หลังจากที่เขาได้พิสูจน์ตัวเองให้เห็นในเวทีพรีเมียร์ชิพของอังกฤษมานักต่อ นักแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เล่นในหลายเกมในรอบคัดเลือกที่ผ่านมา เนื่องจากอาการบาดเจ็บ แต่เรื่องนั้นก็ไม่ได้ลดความสำคัญที่มีต่อทีมของเขาแม้แต่น้อย
นอกจากนี้ ซัลบาดอร์ คาบานาส และ เนลสัน วัลเดซ ก็เป็นอีก 2 กองหน้าที่ได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้นหลามกับผลงานในรอบคัดเลือกที่ผ่านมา ที่ทั้ง 2 คนทำประตูรวมกันได้ถึง 11 ประตูเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม การจะส่งทั้ง 2 คนและ ซานตา ครูซ ลงเล่นพร้อมกันนั้น ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายดายเท่าไหร่ เมื่อพวกเขาทั้ง 3 เคยลงสนามพร้อมกันมาแล้วในรอบสุดท้ายปี 2006 ที่ประเทศเยอรมนี ซึ่งผลงานที่ออกมาก็ไม่ดีนัก ทว่าสำหรับฟุตบอลโลกครั้งนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่มีหัวหอกชั้นดีเช่นนี้ น่าจะช่วยได้มากยามที่ ปารากวัย ต้องการได้ประตูในช่วงเวลาคับขันต่อไป
กุนซือ
เกร์ราโด้ มาร์ติโน่ กุนซือชาวอาร์เจนติน่าของทีม ปัจจุบันถือว่าเป็นโค้ชที่ได้รับการยอมรับว่ายอดเยี่ยมคนหนึ่งในวงการฟุตบอล อเมริกาใต้ ฉายาของเขานั้นคือ “เอล ตาต้า” ซึ่งได้มาจากสมัยเมื่อครั้งยังเป็นผู้เล่นในตำแหน่งกองกลางตัวรุกในยุค 90 หลังจากนั้น เขาได้เริ่มผันตัวมาจับงานโค้ชตั้งแต่ปี 1998 โดยเริ่มต้นจากสโมสรที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงในบ้านเกิด ก่อนที่จะมาคุมทีมในปารากวัยหลังจากนั้น โดยเป็นการคุมทีม เกร์โร่ ปอร์เตโน่ และ ลิเบอร์ตัด ซึ่งก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีด้วย ก่อนที่จะได้คุมทีมชาติปารากวัยในเวลาต่อมา
ฟุตบอลโลกที่ ผ่านมา
ฟุตบอลโลก 2010 เป็นการผ่านเข้ารอบสุดท้ายครั้งที่ 8 สำหรับ ปารากวัย และเป็นครั้งที่ 4 ติดต่อกันของพวกเขา นับตั้งแต่ทัวร์นาเมนต์ปี 1998 ที่ประเทศฝรั่งเศสด้วย ซึ่งในการเข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด 8 ครั้งดังกล่าว พวกเขาเก็บชัยชนะได้ทั้งหมด 6 นัด เสมอ 7 นัด และแพ้ไปถึง 9 นัด ทว่าปารากวัย ยังไม่เคยเอาชนะ 2 เกมติดต่อกันในรอบสุดท้ายได้เลย ซึ่งพวกเขาต้องมุ่งหวังต่อไป รวมถึงการมุ่งเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายให้ได้ด้วย
วาทะ
“ความลับในการผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายของเราก็คือ ความจริงที่ว่าผู้เล่นของเรา และทีมงานที่เกี่ยวข้องในทีมชาติทั้งหมด ต่างมีความรับผิดชอบ และพยายามสร้างปัญหาให้น้อยที่สุด ถ้าพวกเราล้มเหลวในเรื่องเหล่านี้ พวกเราก็จะไม่สามารถเข้าไปเล่นในรอบสุดท้ายได้อย่างแน่นอน และเราก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ด้านมืดของฟุตบอลปารากวัยด้วย ทุกคนที่เป็นโค้ชทีมชาติ ต่างรับงานแบบนี้ด้วยเหตุผล 1-2 อย่างเท่านั้น นั่นคือ การมีงานทำ และเข้าไปอยู่ในประวัติศาสตร์ ซึ่งผมขอเลือกทั้ง 2 อย่างเลย” เกร์ราโด้ มาร์ติโน่ เทรนเนอร์ทีมชาติปารากวัย กล่าว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น