วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Worldcup ในอดีต


Worldcup1970(9)
ฟุตบอลโลก 1970 (อังกฤษ: 1970 FIFA World Cup) เป็นการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งที่ 9 ที่จัดขึ้นที่ประเทศเม็กซิโก ระหว่างวันที่ 31 พฤษภาคม ถึง 21 มิถุนายน ค.ศ. 1970 โดยประเทศเม็กซิโกได้รับเลือกเป็นประเทศเจ้าภาพจากฟีฟ่าเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 1964 ถือเป็นการแข่งขันครั้งแรกในทวีปอเมริกาเหนือ และเป็นครั้งแรกที่จัดขึ้นนอกทวีปอเมริกาใต้และยุโรป ผู้ชนะการแข่งขันครั้งนี้คือทีมชาติบราซิล ชนะทีมชาติอิตาลีไป 4-1 ในรอบตัดสิน
รายละเอียดการแข่งขัน
ประเทศเจ้าภาพ Flag of เม็กซิโก Mexico
วันที่ 31 May – 21 June
ทีม 16 (จาก 5 สมาพันธ์)
สถานที่ 5 (ใน 5 เมืองเจ้าภาพ)
อันดับเมื่อสิ้นสุดการแข่งขัน
ชนะเลิศ ธงชาติบราซิล บราซิล (3rd สมัย)
รองชนะเลิศ ธงชาติอิตาลี อิตาลี
อันดับ 3 ธงชาติเยอรมนีตะวันตก เยอรมนีตะวันตก
อันดับ 4 ธงชาติอุรุกวัย อุรุกวัย
สถิติการแข่งขัน
จำนวนการแข่งขัน 32
จำวนประตู 95 (2.97 ต่อนัด)
ผู้ชม 1,603,975 (50,124 ต่อนัด)
ผู้ทำประตูสูงสุด Flag of  เยอรมนีตะวันตก Gerd Müller (10 goals)

Worldcup ในอดีต


Worldcup1966(8)
ฟุตบอลโลก 1966 (อังกฤษ: 1966 FIFA World Cup) เป็นการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งที่ 8 ที่จัดขึ้นที่ประเทศอังกฤษระหว่างวันที่ 11-30 กรกฎาคม ค.ศ. 1966 โดยประเทศอังกฤษได้รับเลือกเป็นประเทศเจ้าภาพจากฟีฟ่าเมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1960 เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีในการจัดมาตรฐานของฟุตบอลในอังกฤษ ทั้งนี้ทีมชาติอังกฤษชนะการแข่งขัน ชนะทีมชาติเยอมนีตะวันตกไป 4-2 ในรอบตัดสิน ถือเป็นครั้งแรก (และปัจจุบันยังเป็นครั้งเดียว) ที่ทีมชาติอังกฤษชนะการแข่งขันฟุตบอลโลก และยังเป็นประเทศเจ้าภาพที่ชนะการแข่งขันนับตั้งแต่ที่อิตาลีในปี 1934
รายละเอียดการแข่งขัน
ประเทศเจ้าภาพ Flag of อังกฤษ England
วันที่ 11 July – 30 July
ทีม 16 (จาก 5 สมาพันธ์)
สถานที่ 8 (ใน 7 เมืองเจ้าภาพ)
อันดับเมื่อสิ้นสุดการแข่งขัน
ชนะเลิศ ธงชาติอังกฤษ อังกฤษ (1st สมัย)
รองชนะเลิศ ธงชาติเยอรมนีตะวันตก เยอรมนีตะวันตก
อันดับ 3 ธงชาติโปรตุเกส โปรตุเกส
อันดับ 4 Flag of the  Soviet Union USSR
สถิติการแข่งขัน
จำนวนการแข่งขัน 32
จำวนประตู 89 (2.78 ต่อนัด)
ผู้ชม 1,635,000 (51,094 ต่อนัด)
ผู้ทำประตูสูงสุด Flag of โปรตุเกส Eusébio (9 goals)

Worldcup ในอดีต


Worldcup1962(7)
ฟุตบอลโลก 1962 (อังกฤษ: 1962 FIFA World Cup) เป็นการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งที่ 7 ที่จัดขึ้นที่ประเทศชิลี ระหว่างวันที่ 30 พฤษภาคม ถึง 17 มิถุนายน ค.ศ. 1962 โดยประเทศชิลีได้รับเลือกเป็นประเทศเจ้าภาพจากฟีฟ่าในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1956 เป็นการแข่งฟุตบอลโลกที่กลับมาจัดที่ทวีปอเมริกาใต้หลังจาก 12 ปีก่อน ผู้ชนะการแข่งขันครั้งนี้คือทีมชาติบราซิล ที่ชนะทีมชาติเชโกสโลวะเกีย 3-1 ในรอบตัดสิน
รายละเอียดการแข่งขัน
ประเทศเจ้าภาพ Flag of ชิลี Chile
วันที่ 30 May – 17 June
ทีม 16 (จาก 3 สมาพันธ์)
สถานที่ 4 (ใน 4 เมืองเจ้าภาพ)
อันดับเมื่อสิ้นสุดการแข่งขัน
ชนะเลิศ ธงชาติบราซิล บราซิล (2nd สมัย)
รองชนะเลิศ ธงชาติเชโกสโลวาเกีย เชโกสโลวา เกีย
อันดับ 3 ธงชาติชิลี ชิลี
อันดับ 4 ธงชาติยูโกสลาเวีย ยูโกสลาเวีย
สถิติการแข่งขัน
จำนวนการแข่งขัน 32
จำวนประตู 89 (2.78 ต่อนัด)
ผู้ชม 899,074 (28,096 ต่อนัด)
ผู้ทำประตูสูงสุด Flag of บราซิล Garrincha
Flag of บราซิล Vavá
Flag of ชิลี Leonel Sánchez
Flag of ยูโกสลาเวีย Dražan Jerković
Flag of ฮังการี Flórián Albert
Flag of the Soviet Union Valentin Ivanov
(4 goals)

Worldcup ในอดีต


Worldcup1958(6)

ฟุตบอลโลก 1958 (อังกฤษ: 1958 FIFA World Cup) เป็นการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งที่ 6 ที่จัดขึ้นที่ประเทศสวีเดน ระหว่างวันที่ 8-29 มิถุนายน ค.ศ. 1958 โดยประเทศสวีเดนได้รับเลือกเป็นประเทศเจ้าภาพจากฟีฟ่าเมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1950 ผู้ชนะการแข่งขันครั้งนี้คือทีมบราซิล ชนะทีมสวีเดน 5-2 ในรอบตัดสิน ถือเป็นการชนะครั้งแรกของทีมบราซิล และยังเป็นการแจ้งเกิดในเวทีระดับโลกของเด็กหนุ่มวัย 17 ปี ผู้มากความสามารถที่ชื่อ เปเล่

รายละเอียดการแข่งขัน
ประเทศเจ้าภาพ Flag of สวีเดน Sweden
วันที่ 8 June – 29 June
ทีม 16 (จาก 3 สมาพันธ์)
สถานที่ 12 (ใน 12 เมืองเจ้าภาพ)
อันดับเมื่อสิ้นสุดการแข่งขัน
ชนะเลิศ ธงชาติบราซิล บราซิล (1st สมัย)
รองชนะเลิศ ธงชาติสวีเดน สวีเดน
อันดับ 3 ธงชาติฝรั่งเศส ฝรั่งเศส
อันดับ 4 ธงชาติเยอรมนีตะวันตก เยอรมนีตะวันตก
สถิติการแข่งขัน
จำนวนการแข่งขัน 35
จำวนประตู 126 (3.6 ต่อนัด)
ผู้ชม 919,580 (26,274 ต่อนัด)
ผู้ทำประตูสูงสุด Flag of ฝรั่งเศส Just Fontaine (13 goals)

Worldcup ในอดีต


Worldcup1954(5)
ฟุตบอลโลก 1954 (อังกฤษ: 1954 FIFA World Cup) เป็นการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งที่ 5 ที่จัดขึ้นที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน - 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1954 เป็นปีครบรอบ 50 ปีของฟีฟ่า จัดขึ้นที่ประเทศที่ฟีฟ่ามีสำนักงานตั้งอยู่ และสวิตเซอร์แลนด์ได้รับเลือกจากฟีฟ่า เมื่อเดือนกรกฎาคม 1946 ปีนี้ผู้ชนะการแข่งขันคือทีมชาติเยอรมนีตะวันตก ชนะทีมชาติฮังการี 3-2 ในรอบตัดสิน เป็นการชนะการแข่งขันครั้งแรกของเยอรมนีตะวันตก
รายละเอียดการแข่งขัน
ประเทศเจ้าภาพ Flag of สวิตเซอร์แลนด์ Switzerland
วันที่ 16 มิถุนายน - 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1954
ทีม 16 (จาก 4 สมาพันธ์)
สถานที่ 6 (ใน 6 เมืองเจ้าภาพ)
อันดับเมื่อสิ้นสุดการแข่งขัน
ชนะเลิศ ธงชาติเยอรมนีตะวันตก เยอรมนีตะวันตก (1st สมัย)
รองชนะเลิศ ธงชาติฮังการี ฮังการี
อันดับ 3 ธงชาติออสเตรีย ออสเตรีย
อันดับ 4 ธงชาติอุรุกวัย อุรุกวัย
สถิติการแข่งขัน
จำนวนการแข่งขัน 26
จำวนประตู 140 (5.38 ต่อนัด)
ผู้ชม 889,500 (34,212 ต่อนัด)
ผู้ทำประตูสูงสุด Flag of ฮังการี Sándor Kocsis (11 ประตู)

Worldcup ในอดีต


Worldcup1950(4)

ฟุตบอลโลก 1950 (อังกฤษ: 1950 FIFA World Cup) เป็นการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งที่ 4 ที่ประเทศบราซิลที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 24 มิถุนายน ถึง 16 กรกฎาคม ค.ศ. 1950 เป็นการแข่งขันครั้งแรกในรอบ 12 ปีหลังจากหยุดการแข่งขันไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 บราซิลได้รับเลือกเป็นประเทศเจ้าภาพโดยฟีฟ่าในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1946 เป็นครั้งแรกที่มอบถ้วยรางวัล ถ้วยจูลส์ริเมต์ เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองครบ 25 ปี ในการดำรงตำแหน่งประธานฟีฟ่าของริเมต์ ผู้ชนะการแข่งขันครั้งนี้คือทีม อุรุกวัย

รายละเอียดการแข่งขัน
ประเทศเจ้าภาพ Flag of บราซิล บราซิล
วันที่ 24 มิถุนายน ถึง 16 กรกฎาคม ค.ศ. 1950
ทีม 13 (จาก 3 สมาพันธ์)
สถานที่ 6 (ใน 6 เมืองเจ้าภาพ)
อันดับเมื่อสิ้นสุดการแข่งขัน
ชนะเลิศ ธงชาติอุรุกวัย อุรุกวัย (2nd สมัย)
รองชนะเลิศ ธงชาติบราซิล บราซิล
อันดับ 3 ธงชาติสวีเดน สวีเดน
อันดับ 4 ธงชาติสเปน สเปน
สถิติการแข่งขัน
จำนวนการแข่งขัน 22
จำวนประตู 88 (4 ต่อนัด)
ผู้ชม 1,036,000 (47,091 ต่อนัด)
ผู้ทำประตูสูงสุด Flag of บราซิล Ademir (8 ประตู)

การ์ตูนฟุตบอล สนุกๆ


ขอพักบอลโลกในอดีตไว้ช่วงนึง

1.กัปตันซึบาสะ (โยอิจิ ทาคาฮาชิ)
หากจะพูดถึงการ์ตูนฟุตบอลที่ยอดฮิตตลอดกาลในบ้านเรา และ หลายคนมักนึกถึงเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกเลย นั่นก็คือ กัปตันซึบาสะ ครับ ซึ่งจัดได้ว่าเป็นการ์ตูนฟุตบอลที่คลาสสิค และ เป็นการ์ตูนที่สร้างแรงบันดาลใจให้เด็กๆหรือใครหลายคนนั้น อยากจะเป็นนักฟุตบอลที่เก่งกาจแบบ โอโซระ ซึบาสะ ให้ได้ โดยตามเนื้อเรื่องนั้น ซึบาสะ จะใช้ชีวิตอยู่กับกีฬาฟุตบอลมาโดยตลอด เพราะ ฟุตบอลนั้น คือ เพื่อนของเขา จุดที่สร้างตำนานความยิ่งใหญ่ของซึบาสะ นั่นก็คือ เขาพาทีม นันคัทสึ ซึ่งเป็นทีมโรงเรียนของเขา ชนะเลิศในการแข่งขันฟุตบอลทั่วประเทศ โดยล้มทีม รร.เมวะ ที่มี เฮียวงะ โคจิโร่ลงได้ หลังจากประสบความสำเร็จกับนันคัทสึแล้ว ซึบาสะก็จากญี่ปุ่น เพื่อไปฝึกฟุตบอลกับทีม เซาเปาโล ในบราซิล ตามคำชักชวนของ โรแบร์โต้ ฮอนโง ผู้ที่ทำให้ซึบาสะรู้จักกับความสนุกในกีฬาฟุตบอลนั่นเอง หลังจากที่ซึบาสะกลับจากบราซิล เขาก็ติดทีมเยาวชนทีมชาติญี่ปุ่น และได้ไปแข่งขันในระดับโลก ซึบาสะนั้นก็ได้ฝ่าฝันกับอุปสรรค์นานับประการ และได้ประลองกับักฟุตบอลฝีเท้าดีอย่าง นาตูเลซา(บราซิล) คาร์ลไฮน์ ชไนเดอร์(เยอร์มัน) นายทวารมุลเลอร์(เยอร์มัน) จนกระทั่งได้แชมป์โลก และ ท้ายที่สุดเขาก็ได้ไปค้าแข้งที่ยุโรป กับทีม บาร์เซโลน่า ในที่สุด
ในการ์ตูนเรื่องนี้นั้น ไม่เพียงแค่ ซึบาสะ จะมีบทเด่นเท่านั้น ยังมีคาแร็คเตอร์ตัวอื่นๆที่ผู้อ่านมักจำกันได้อย่าง ซานาเอะ เพื่อนสาวผู้ที่คอยเชียร์ซึบาสะตลอดเวลา วากาบายาชิ โกล์ฝีมือดีจากทีมฮัมบูร์ก วากาชิมัตซึ โกล์จอมลีลาทีมชาติญี่ปุ่น สองพี่น้องฝาแฝดทาจิบานะ กับ ท่าเหินอากาศอันมหัศจรรย์ อิชิซากิ กองหลังจอมทุ่มเทที่เป็นเพื่อนคนสนิทของซึบาสะ และ มิซากิ คู่หูของซึบาสะ ในแดนหน้า และ เฮียวงะ กองหน้าเลือดร้อนประจำทีมชาติญี่ปุ่น เป็นต้น
และด้วยความคลาสสิคของซึบาสะนั้น โดยเฉพาะเนื้อเรื่องนั้น ก็เลยถูกการ์ตูนเรื่องหลังๆบางเรื่องนำมุขจากการ์ตูนเรื่องนี้มาใช้ โดยเฉพาะ "ท่าไม้ตาย" ซึ่งสึบาสะนั้น ก็มี ไดรฟ์ ชู้ต เป็นท่าประจำ ส่วน เฮียวงะ ก็มี ไทเกอร์ช็อต ชไนเดอร์จากเยอร์มัน ก็มี ไฟเออร์ ช็อต เป็นท่าไม้ตายเป็นต้น แถม เรื่องนี้นั้น ก็มีมุขที่คนอ่านหลายคนจดจำนั่นก็คือ ขณะที่พวกเขาเล่นฟุตบอลอยู่ ก็มักจะนึกถึงอดีตในเรื่องต่างๆไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝนมาอย่างหนักเกินมนุษย์ มิตรภาพระหว่างเพื่อน แถมคิดแต่ละทีก็ยาวนานเหลือเกิน ก็เลยสงสัยว่า ผ่านไปตั้งครึ่งชั่วโมงแล้วยังส่งบอลไม่ถึงฝั่งตรงข้ามเลย!!!!
ถึงแม้ในปัจจุบันนั้น เรื่องนี้ไม่ได้รับความนิยมเหมือนแต่ก่อน อันเนื่องมาจากพล็อตเรื่องที่ยังไม่พัฒนาไปพร้อมๆกับการเติบโตของตัวละคร แถมมุขที่ใช้ก็ซ้ำซาก แต่ก็เพราะมุขที่ซ้ำซากเนี่ยแหละที่ทำให้ผู้อ่านไม่มีวันลืมการ์ตูนฟุตบอล เรื่องนี้ ถึงแม้ว่า เนื้อเรื่องของซึบาสะอาจดูเพ้อฝันหรือเพ้อเจ้อสำหรับใครบางคน แต่เรื่องนี้นี่แหละ ก็ทำให้เป็นการสร้างแรงบันดาลใจแก่เยาวชนญี่ปุ่น ทำให้พวกเขาฝึกฝนอย่างหนัก เพื่อจะเป็นนักฟุตบอลที่เก่ง และ ในที่สุด ทีมชาติญี่ปุ่นก็กลายเป็นทีมชั้นนำระดับโลก มีนักเตะฝีเท้าดีไปค้าแข้งในลีกดังๆในยุโรป ชนิดที่บางชาติที่เคยข่มว่าเมื่อก่อนเคยชนะญี่ปุ่นขาดลอยนั้นแทบอายม้วนเลย (แถมจนบัดนี้รอบสุดท้ายก็ยังไม่เคยไปกับเขาเลย.......)



ยิงประตูสู่ฝัน
ยิง ประตูสู่ฝัน (ญี่ปุ่น: 俺たちのフィールド Oretachi no Field ?) (อังกฤษ: Our Field of Dreams) เป็นการ์ตูนญี่ปุ่น แนวโชเน็น เนื้อเรื่องเกี่ยวกับกีฬาฟุตบอล โดยเล่าถึงชีวิตของเด็กผู้ชายที่ชื่อ ทาคาสุงิ คาซึยะ ผู้หลงไหลเกมลูกหนังเป็นชีวิตจิตใจ ผู้อ่านจะได้ติดตามชีวิตในโลกลูกหนังของตัวเอกที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ และก้าวไปสู่สังเวียนที่ยิ่งใหญ่ขึ้นพร้อมๆกัน โดยอาจแบ่งการดำเนินเรื่องเป็นภาคต่างๆ ตามการเติบโตของตัวเอกได้กลายๆ ดังนี้
เนื้อ เรื่อง
ภาค เริ่มต้น : ฟุตบอลนักเรียน

ทาคาสุงิ คาซึยะ เป็นเด็กผู้ชายที่รักการเล่นฟุตบอลเป็นอย่างมาก เขาเป็นลูกของทาคาสุงิ คังอิจิ นักฟุตบอลกึ่งอาชีพ ความใฝ่ฝันของคาซึยะตั้งแต่เด็กๆ คือการได้เติบโตเป็นนักฟุตบอลที่ดี และร่วมทีมกับพ่อของเขาเพื่อคว้าแชมป์จากสนามแห่งชาติมาให้กับทีมยามากิ (ต้นสังกัดของคังอิจิ) ในช่วงที่คาซึยะเล่นฟุตบอลให้กับทีมซากุระมะจิคิกเกอร์ร่วมกับเพื่อนๆชั้น ประถม 5 ของเขา ซึ่งหนึ่งในนั้นคือสาวน้อยโมริงุจิ ไอโกะ คาซึยะก็ได้พบกับเด็กนักเรียนที่ย้ายมาใหม่ และความเก่งกาจของเขาก็ทำให้กลายเป็นที่สนใจในทันที ชื่อของเด็กคนนั้นคือคิ บะ ทาคุมะ แม้ทั้ง 2 จะไม่ชอบขี้หน้ากัน แต่ก็ทำผลงานด้วยกันในสนามเป็นอย่างดี แต่แล้วจู่ๆ คาซึยะกลับต้องพบข่าวร้ายที่สุดในชีวิตของเขา เมื่อพ่อ คนที่เขารักมากที่สุดในชีวิตประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต เพราะพยายามช่วยเด็กคนหนึ่งไว้ไม่ให้โดนรถชน ความเศร้าโศกเสียใจทำให้เขาหันหลังให้กับฟุตบอลนับแต่นั้น เมื่อเข้าสู่การเรียนในระดับมัธยม ไอโกะไม่สามารถร่วมทีมฟุตบอลชายได้อีกต่อไป ในขณะที่คิบะยังคงเล่นฟุตบอลด้วยแนวทางของตนเอง ในช่วงนั้นก็ปรากฏมีเด็กหนุ่มจากต่างประเทศ ผู้รักษาประตูแห่งทีมเยาวชนสโมสรเอซี มิลาน สุเอซึงุ โคอิจิโร่ เขาเป็นเด็กญี่ปุ่นที่ไปอยู่อิตาลีตั้งแต่ยังเล็กและฝึกฝนฟุตบอลที่นั่น การกลับมาญี่ปุ่นของเขาเพื่อมาพบคาซึยะ เพราะเขาคือเด็กคนที่คังอิจิช่วยเอาไว้ในอุบัติเหตุเมื่อหลายปีก่อน เมื่อคาซึยะและสึเอซึงุเผชิญหน้ากันจึงได้เปิดใจคุยกัน และในที่สุดสึเอซึงุก็สามารถจุดไฟในใจของคาซึยะขึ้นมาและดึงเขากลับสู่โลก แห่งลูกหนังอีกครั้ง คาซึยะร่วมทีมกับคิบะ พาทีมผ่านอุปสรรคทีมแล้วทีมเล่า จนในที่สุด พวกเขาก็ได้แชมป์มาครอง
ภาค เติบโต : ฟุตบอลอาชีพ

ภายหลังจากทาคาสุงิ เรียนจบชั้นมัธยมปลายแล้ว เขาตัดสินใจที่จะหยุดเรียนเพื่อหันมาเล่นฟุตบอลอย่างจริงจัง และด้วยความช่วยเหลือของนักข่าวกีฬาสาวได้ช่วยพาเขาพร้อมด้วยอิโซโนะ ทาคุโร่ นักฟุตบอลความเร็วสูงอีกคนไปเก็บเกี่ยวหาประสบการณ์ที่อาร์เจนตินา ภายใต้การทำทีมของโค้ชชาวญี่ปุ่น ทาคาสุงิและทาคุโร่ได้โอกาสลงสนามและขับเคี่ยวกับนักฟุตบอลลาตินอเมริกัน พวกเขารู้ซึ้งถึงความต่างระหว่างฝีเท้า แต่ก็ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค และที่อาร์เจนตินานี่เอง ทาคาสุงิได้พบกับดาเมียน นักฟุตบอลอาร์เจนตินาที่ฝีเท้าร้ายกาจยิ่งกว่าใครที่พวกเขาได้เจอ และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ของทั้งสองที่เป็นคู่แข่งกัน เมื่อกลับมายังประเทศญี่ปุ่น ทาคาสุงิและคันคุโร่ได้เข้าร่วมทีมฟุตบอลยามากิ ที่นั่นมีคิบะเพื่อนเก่าของทาคาสุงิรออยู่ พวกเขาทั้งสามได้เข้าไปอยู่ในทีมช่วงที่ตกต่ำถึงขีดสุด ถึงขั้นที่อาจต้องยุบทีม ทุกครั้งที่ลงสนาม ก็พบแต่คู่แข่งที่ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แต่ด้วยการร่วมแร่งร่วมใจกันของทาคาสุงิและเหล่าผองเพื่อน ในที่สุดพวกเขาก็สามารถคว้าแชมป์การแข่งขันและรักษาสถานภาพของทีมฟุตบอล อาชีพได้สำเร็จ และจากผลงานอันโดดเด่นในการเล่นกับทีมยามากินี่เอง ทำให้ทาคาสุงิถูกเรียกตัวเข้ารับการคัดเลือกเป็นนักฟุตบอลทีมชาติพร้อมกับ เพื่อนๆ ของเขาอีกหลายคน
ภาค ส่งท้าย : ฟุตบอลทีมชาติ

เมื่อคาซึยะได้เข้าเก็บตัวรับการคัดเลือกทีมชาติ เขาก็ได้พบกับอิบุ สุดยอดกองกลางแห่งทีมชาติญี่ปุ่นในขณะนั้น การพบกันในตอนแรกทำให้คาสึยะรู้สึกถึงความพิเศษของอิบุได้ในทันทีจากความ สามารถและบุคลิกที่โดดเด่นของดาวยิงผู้นี้ การเก็บตัวคราวนั้นได้เรียกตัวนักเตะผสมกันระหว่างผู้เล่นหน้าใหม่ที่ไม่เคย ติดทีมชาติ และนักเตะมากประสบการณ์ที่เพิ่งอกหักมาจากฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก บรรยากาศตึงเครียดยิ่งระอุขึ้นไปอีก เมื่อเกิดการทะเลาะแย่งตำแหน่งการเล่นกันระหว่างนักเตะทั้ง 2 กลุ่ม ส่งผลให้เกิดการฟอร์มทีมของบรรดาเด็กใหม่และใช้ชื่อว่ารีเสิร์ฟด็อก แยกต่างหากจากกลุ่มนักเตะเดิม

Worldcup ในอดีต


Worldcup1938(3)
ฟุตบอลโลก 1938 (อังกฤษ: 1938 FIFA World Cup)เป็นการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งที่ 3 ที่ประเทศฝรั่งเศสที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 4 มิถุนายน ถึง 19 มิถุนายน ค.ศ. 1938 ฝรั่งเศสได้รับเลือกเป็นประเทศเจ้าภาพจากฟีฟ่าเมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1936 โดยในการแข่งขันครั้งนี้ทีมอิตาลีเป็นผู้ชนะการแข่งขัน ชนะฮังการี 4-2 ในนัดตัดสิน
รายละเอียดการแข่งขัน
ประเทศเจ้าภาพ Flag of ฝรั่งเศส ฝรั่งเศส
วันที่ 4 มิถุนายน ถึง 19 มิถุนายน ค.ศ. 1938
ทีม 15 (จาก 4 สมาพันธ์)
สถานที่ 10 (ใน 10 เมืองเจ้าภาพ)
อันดับเมื่อสิ้นสุดการแข่งขัน
ชนะเลิศ ธงชาติอิตาลี อิตาลี (2nd สมัย)
รองชนะเลิศ ธงชาติฮังการี ฮังการี
อันดับ 3 ธงชาติบราซิล บราซิล
อันดับ 4 ธงชาติสวีเดน สวีเดน
สถิติการแข่งขัน
จำนวนการแข่งขัน 18
จำวนประตู 84 (4.67 ต่อนัด)
ผู้ชม 483,000 (26,833 ต่อนัด)
ผู้ทำประตูสูงสุด Flag of บราซิล Leônidas (7 ประตู)

Worldcup ในอดีต


Worldcup1934(2)
ฟุตบอลโลก 1934 (อังกฤษ: 1934 FIFA World Cup) เป็นการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งที่ 2 ที่ประเทศอิตาลีที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 พฤษภาคม ถึง 10 มิถุนายน ค.ศ. 1934 อิตาลีได้รับการเลือกเป็นประเทศเจ้าภาพจากฟีฟ่า ในการประชุมที่สต็อกโฮล์ม เมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 1932 เป็นฟุตบอลโลกครั้งแรกที่มีการคัดเลือกคุณสมบัติของทีมเข้าแข่ง มีประเทศที่เข้าแข่ง 32 ทีม หลังจากคัดเหลือ 16 ทีมในรอบตัดสิน ประเทศอิตาลีเป็นแชมป์การแข่งขันครั้งนี้ ชนะเชกโกสโลวาเกียในรอบ ตัดสิน 2-1

รายละเอียดการแข่งขัน
ประเทศเจ้าภาพ Flag of อิตาลี อิตาลี
วันที่ 27 พฤษภาคม - 10 มิถุนายน ค.ศ. 1934
ทีม 16 (จาก 4 สมาพันธ์)
สถานที่ 8 (ใน 8 เมืองเจ้าภาพ)
อันดับเมื่อสิ้นสุดการแข่งขัน
ชนะเลิศ ธงชาติอิตาลี อิตาลี (1st สมัย)
รองชนะเลิศ ธงชาติเชโกสโลวาเกีย เชโกสโลวา เกีย
อันดับ 3 ธงชาติเยอรมนี เยอรมนี
อันดับ 4 ธงชาติออสเตรีย ออสเตรีย
สถิติการแข่งขัน
จำนวนการแข่งขัน 17
จำวนประตู 70 (4.12 ต่อนัด)
ผู้ชม 358,000 (21,059 ต่อนัด)
ผู้ทำประตูสูงสุด Flag of เชโกสโลวาเกีย Oldřich Nejedlý (5 ประตู)

Worldcup ในอดีต


Worldcup1930(1)

ฟุตบอลโลก 1930 เป็นฟุตบอลโลกครั้งแรก จัดขึ้นที่ประเทศอุรุกวัย ในปี พ.ศ. 2473 โดย ทีมชาติ อุรุกวัย ชนะอาร์เจนตินา 4 -2

การแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนี้เป็นการแข่งขันครั้งโดยไม่มีการคัดเลือกทีม เข้าเล่น ประเทศที่เข้าร่วมเป็นประเทศที่ได้รับเชิญและเป็นส่วนหนึ่งของฟีฟ่า ในขณะนั้น ในขณะเดียวกันเนื่องจากค่าใช้จ่ายในการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก มีค่าสูง ทำให้หลายประเทศในทวีปยุโรปไม่ได้เข้าร่วมฟุตบอลโลกในครั้งนี้ ทำให้ประธานของฟีฟ่า ชูลส์ รีเมต์ ร่วมกับรัฐบาลของอุรุกวัย ได้สัญญาจะจ่ายค่าเดินทางทั้งหมดให้กับทีมที่มาจากทวีปยุโรป ในที่สุดทีมจากยุโรป 4 ทีม ได้แก่ เบลเยียม ฝรั่งเศส ยูโกสลาเวีย และ โรมาเนีย ได้เดินทางทางทะเลเป็นเวลาสามอาทิตย์มาที่ประเทศอุรุกวัย

การแข่งขันในครั้งนี้ได้แบ่งออกเป็น 4 สาย A B C และ D โดยสาย A มีอยู่ 4 ประเทศ ขณะที่สายอื่นมี 3 ประเทศ ผู้ชนะในแต่ละสายจะมาแข่งกัน


ทีม 13 (จาก 13 ประเทศ)
เจ้าภาพ อุรุกวัย
แชมเปียน อุรุกวัย (ครั้งที่ 1)
จำนวนแมตช์ 18
ประตู 70 (3.89 ต่อนัด)
ผู้เข้าชม 650,000 (36,111 ต่อนัด)
ยิงประตูสูงสุด Guillermo Stábile (ARG)
8 ประตู


Worldcup ในอดีต

ฟุตบอลโลก หรือ ฟุตบอลโลกฟีฟ่า (FIFA World Cup) เป็นการแข่งขันฟุตบอลระหว่างประเทศโดยทีมฟุตบอลชายร่วมเข้าแข่ง จัดการแข่งขันโดยฟีฟ่า (ฟีฟ่ายังคงเป็นผู้จัด ฟุตบอลโลกหญิงเช่นกัน) ฟุตบอลโลกเริ่มครั้งแรกในปี พ.ศ. 2473 ใน ฟุตบอลโลก 1930 และจัดต่อเนื่องมาทุก 4 ปี ยกเว้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (1942, 1946)

ภายหลังจากการแข่งขันรอบคัดเลือก ฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายจะประกอบด้วยทีมชาติ 32 ทีม (เพิ่มจาก 24 ทีมเป็น 32 ทีมใน ฟุตบอลโลก 1998) ร่วมแข่งขันกันเป็นเวลาประมาณ 1 เดือน และได้ชื่อว่าเป็นการแข่งขันกีฬาที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลก โดยใน ฟุตบอลโลก 2002 มีสถิติผู้ชมประมาณ 1,100 ล้านคนทั่วโลก

เมื่อจบการแข่งขันจะมีการมอบรางวัลต่างๆ สำหรับนักฟุตบอลยอดเยี่ยม ดูได้ที่ รางวัลฟุตบอลโลก

สำหรับการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งต่อไป ฟุตบอลโลก 2010 จะถูกจัดขึ้นที่ ประเทศแอฟริกาใต้ ในปี พ.ศ. 2553 และฟุตบอลโลก 2014 ที่ประเทศบราซิล ในปี พ.ศ. 2557

















ถ้วยรางวัลในยุคแรกๆ ถ้วย จูลส์ ริเมต์

โดยเริ่มใช้ตั้งแต่Worldcup 1930-1970 หลังจากนั้นจึงเปลี่ยนมาเป็นถ้วยแบบปัจจุบันที่เราเห็นกันอยู่




















ถ้วยฟีฟ่าเวริลด์คัพได้ถูกนำมาใช้ตั้งแต่Worldcup1978-ปัจจุบัน

วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

10 สุดยอดดาวยิงตลอดกาลWorldcup


อันดับ 10. เตโอฟิโล่ กูบิลลาส (เปรู) - 10 ประตู (1970, 1978, 1982)

* นี่คือผู้เล่นยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลของชาวเปรู, กู บิลลาส คือแรงบัลดาลใจให้ประเทศของเขาผ่านเข้าไปถึง รอบก่อนรองชนะเลิศในฟุตบอลโลกปี 1970, ก่อนที่อีก 8 ปีต่อมาในฟุตบอลโลกปี 1978 ที่อาร์เจนติน่า เขาจะทำประตูแห่งความทรงจำตลอดกาลในชัยชนะเหนือสกอตต์แลนด์








อันดับ 9. แกรี่ ลินิเกอร์ (อังกฤษ) - 10 ประตู (1986, 1990)

*“มิสเตอร์ ไนซ์ กาย” มีโอกาสรับใช้ครั้งแรก ในเกมกับ สกอตต์แลนด์ ปี 1984 คว้ารางวัลรองเท้าทองคำในฟุตบอลโลกปี 1986 ด้วยจำนวน 6 ประตู ก่อนพาทีมผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศในฟุตบอลโลกครั้งต่อมาเมื่อปี 1990, ลิ นิเกอร์ ประกาศลาทีม "สิงโตคำราม" หลังลงเตะไปเพียง 80 เกม ยิงได้ 48 ประตู ซึ่งน้อยกว่าสถิติทีของ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน เพียงไม่กี่ประตูเท่านั้น (ชาร์ลตัน เตะมากกว่า 26 เกม)






อันดับ 8. กาเบรียล บาติสตูต้า (อาร์เจนติน่า ) - 10 ประตู (1994, 1998, 2002 )

*กา เบรียล โอมาร์ บาติสตูต้า เกิดเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 1969 นับเป็นนักฟุตบอลที่ได้รับความนิยมสูงสุดคนหนึ่งของโลก ชีวิตในระดับสโมสร บาติโกล์ เป็นตำนานที่ไม่เคยตายของ “ม่วงมหากาฬ” ฟิออ เรนตินา จนเรียกได้ว่าโลหิตจะกลายเป็นสีม่วงตามสัญลักษ์สโมสรอยู่แล้ว นอกจากนี้ ยังเป็นดาวยิงสูงสุดของทีมชาติอาร์เจนตินาด้วย ด้วยเท้าขวาอันทรงพลังเปรียบได้กับกระสุนปืน ช่วงชีวิตค้าแข้งกับทีมชาติที่ดีที่สุดอยู่ระหว่างปี 1994-1998






อันดับ 7. เฮลมุต ราห์น ( เยอรมัน ตะวันตก ) -10 ประตู ( 1954, 1958 )

* เจ้าของฉายา "ไอ้ปืนใหญ่แห่งเมืองเอสเซ่น" ราห์น คือผู้ทำประตูที่สอง ซึ่งเป็นประตูแห่งความทรงจำในฟุตบอลโลกนัดชิงชนะเลิศปี 1954 โดยเยอรมัน ตะวันตกม้านอกสายตา สามารถเอาชนะฮังการีคว้าแชมป์โลกไปครองได้สำเร็จ ก่อนที่จะมาระเบิดฟอร์มในฟุตบอลโลกในอีก 4 ปีถัดมาที่สวีเดน โดยปีนั้นเขาสามารถทำได้ 10 ประตูจากการลงสนาม 9 เกม


อันดับ 6.เจอร์เก้น คลิ้นสมันน์ ( เยอรมัน ) -11 ประตู ( 1990, 1994, 1998 )

*“ฉลาม ขาว” เจอร์เก้น คลินส์มันน์ กองหน้าที่ดุดันที่สุดในยุค 90จากสถิติรับใช้ชาติ 108 เกม ยิง 50 ประตูให้อินทรีเหล็ก ผ่านฟุตบอลโลก 3 สมัย ไม่น่าแปลกใจว่า คลิ้นซี่ ถึงได้เป็นหนึ่งในนักเตะตำนานของทีมอินทรีย์เหล็ก



อันดับ 5. ซานดอร์ โคซิช ( ฮังการี ) - 11 ( 1954 )

* โคซิช ลงเล่นฟุตบอลโลกแค่สมัยเดียวในปี 1954 เป็นดาวเด่นที่ช่วยให้ทีมชาติฮังการีผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศกับเยอรมัน ตะวันตก ก่อนที่จะแพ้ไปในที่สุด ทัวร์นาเม้นท์ดังกล่าวเข้าทำประตูได้ทุกนัด รวมทั้งสิ้น 11 ประตู










อันดับ 4. เปเล่ ( บราซิล ) -12 ประตู ( 1958, 1962, 1966, 1970 )

*ใน ปี 1958 เปเล่ กลายเป็นนักฟุตบอลอายุน้อยที่สุดในโลกที่คว้าแชมป์โลก ด้วยวัยเพียง 17 ปีหลังเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่เอาชนะ สวีเดน เจ้าตัวยิง 2 ประตูในนัดชิง ให้ แซมบ้า ชนะสวีเดน 5-2 ที่กรุงสต๊อคโฮล์ม จากนั้นก็เล่นเกมฟุตบอลโลกกับ บราซิล อีก 3 สมัยในปี 1962,1966 และ 1970 ซึ่งพาบราซิลคว้าแชมป์โลกอีก 2 ครั้งคือปี 1962 และ 1970






อันดับ 3. จุสท์ ฟองแตง ( ฝรั่งเศส ) -13 ประตู ( 1958 )

*ผ่าน ฟุตบอลโลกแค่สมัยเดียวในปี 1958 แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาก้าวขึ้นมาติดท็อปสกอร์เลอร์สูงสุดตลอดกาลของ ฟุตบอลโลก โดยทัวร์นาเม้นท์นั้น ฟองแตง ทำ 13 ประตู และช่วยให้ฝรั่งเศสคว้าอันดับ 3 ไปครอง








อันดับ 2. เกิร์ด มุลเลอร์ ( เยอรมัน ตะวันตก ) -14 ประตู ( 1970, 1974 )

*นี่ คือดาวยิงที่ดีที่สุดในกรอบ 6 หลาตั้งแต่เยอรมันมีมา ฟุตบอลโลกปี 1970 ครั้งนั้นเยอรมัน ตะวันตก จบที่อันดับ 3 แต่มุลเลอร์ เป็นดาวยิงสูงสุดที่ 10 ประตู ก่อนที่อีก 4 ปีต่อมาเขาจะพาเยอรมัน ตะวันตกคว้าแชมป์โลกได้สำเร็จ ด้วยการเอาชนะฮอลแลนด์ในรอบชิงชนะเลิศ






อันดับ 1. โรนัลโด้ ( บราซิล ) -15 ประตู ( 1994, 1998, 2002, 2006 )

ดาว ยิงสูงสุดตลอดกาลที่จำนวนประตู 15 ประตู ผ่านฟุตบอลโลกมาแล้ว 4 สมัย โดยเฉพาะฟุตบอลโลกปี 2002 พาบราซิลคว้าแชมป์โลกมาครองพร้อมกับรางวัลรองเท้าทองคำ หลังทำได้ 8 ประตูในทัวร์นาเม้นท์นั้น

บัลลัค เจ็บ

โยอัคคิม เลิฟ ผู้จัดการทีมชาติเยอรมัน จะต้องชวดใช้บริการของกองกลางมากประสบการณ์อย่าง มิชาเอล บัลลัค ในศึกฟาดแข้งฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่ประเทศแอฟริกาใต้ ในช่วงหน้าร้อนที่จะถึงนี้ หลังจากที่กองกลางของเชลซีรายนี้มีอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้า

บัคลัคได้รับบาดเจ็บจากเกมเอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศกับพอร์ทสมัธเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา หลังจากที่เข้าประทะกับเควิน ปริ้นซ์-บัวเต็ง และทำให้เขาต้องถูกหามออกจากสนามในเวลาต่อมา

และหลังจากการตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว พบว่าอดีตกองกลางของทีมบาเยิร์นรายนี้มีอาการบาดเจ็บบริเวญเอ็นข้อเท้าข้าง ขวา ทำให้บัคลัคต้องใส่เฝือกเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ก่อนที่จะเริ่มทำการรักษาในขั้นตอนต่อไป

โดยทีมแพทย์ได้รายงานว่า บัคลัคจะต้องพักอย่างน้อยที่สุดเป็นเวลา 8 สัปดาห์ เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้า ทำให้ฟุตบอลโลกของบัคลัคในปีนี้ต้องจบลงอย่างรวดเร็ว

นับถอยหลังWorldcup 2010

ทีมเด่น ทีมเต็งในแต่ละกลุ่ม
กลุ่ม เอช





สเปน


ทีมชาติสเปนเป็นที่รู้จักกันในฉายาซึ่งเป็นที่นิยมมากกว่าคือ "La Furia Roja" มาจากคำที่ชาวอิตาลีเป็นผู้คิดขึ้นและนำมาใช้เรียกทีมชาตินี้ในภาษาของตนว่า "Furia Rossa" คำว่า "ฟูเรีย" (ความดุเดือด, ความโมโหร้าย) มาจากรูปแบบการเล่นที่ค่อนข้างรุนแรงของนักฟุตบอลสเปนในการแข่งขันนัดต่าง ๆ ที่ทีมชาติสเปนเข้าร่วมเป็นครั้งแรกที่เมืองแอนต์เวิร์ป (ประเทศเบลเยียม) และต่อมาก็ถูกนำมาใช้เรียกเหตุการณ์การปล้นเมืองแอนต์เวิร์ปของสเปนในสงคราม แปดสิบปี (ค.ศ. 1576) ซึ่งเป็นตำนานมืดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์การทหารของสเปนด้วย ส่วน "รอสซา" (สีแดง) มาจากสีของเสื้อทีม สำหรับในประเทศไทยนั้นทีมนี้มีฉายาว่า "กระทิงดุ"
เส้นทางสู่ แอฟริกาใต้
หลังจากเถลิงบัลลังก์แชมป์รายการใหญ่ในศึก ยูโร 2008 ที่เยอรมัน ก็ทำเอาบรรดาผู้คร่ำหวอดในวงการลูกหนังทั้งในอดีตและปัจจุบันหันมาจับตามอง ทีม “กระทิงดุ” ชุดนี้ในมุมมองที่ต่างไป จากที่เคยถูกปรามาสว่า เป็น หมูสนามจริง สิงห์สนามซ้อม แต่ปัจจุบันสเปนยุคใหม่กลายเป็นทีมที่ใครก็อยากจะหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้า พวกเขาเขียนหน้าประวัติศาสตร์ขึ้นมาใหม่ ด้วยการทำสถิติไม่แพ้ทีมใดติดต่อกันถึง 35 นัดเทียบเท่ากับทีมชาติบราซิล ไม่เพียงเท่านั้นพวกเขายังสร้างสถิติโลกใหม่ด้วยการเป็นทีมที่เก็บชัยชนะ ติดต่อกันถึง 15 นัดทำลายสถิติเดิมที่บราซิล, ฝรั่งเศส และออสเตรเลียทำเอาไว้ที่ 14 นัดอีกด้วย
ทั้งหลายทั้งปวงจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทีมชาติสเปนจะถูกจับตามองในการแข่ง ขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกที่ผ่านมา สเปนนั้นอยู่ร่วมสายกับบอสเนีย, อาร์เมเรีย, เอสโตเนีย, เบลเยี่ยม และตุรกี พวกเขาพิสูจน์ให้เห็นว่าตำแหน่งแชมป์ยุโรปไม่ใช่ได้มาเพราะโชค ในรอบคัดเลือกนี้พวกเขาสามารถเก็บชัยชนะรวดทั้ง 10 ผ่านเข้าไปเล่นรอบสุดท้ายแบบสบายๆ
ความสำเร็จที่ เคยได้รับ
สเปนได้เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลก 12 ครั้ง และเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันในฟุตบอลโลก ปี 1982 ผลงานที่ดีที่สุดที่ทีมชาติสเปนเคยทำได้นั้นคืออันดับที่ 4 ในฟุตบอลโลก ปี 1950 ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศบราซิล
ทีมชาติสเปนยังได้เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป (ฟุตบอลยูโร) 8 ครั้ง ครั้งสำคัญคือฟุตบอลยูโร ปี 1964 ซึ่งถือเป็นแชมป์ในบ้านตัวเองหลังจากเอาชนะสหภาพโซเวียตไป 2-1 แต่ในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลยูโร ปี 1984 ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศฝรั่งเศส สเปนทำได้เพียงรองแชมป์เพราะแพ้ให้กับเจ้าบ้านด้วยคะแนน 2-0 และไม่ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศอีกเลยจนกระทั่งในการแข่งขันฟุตบอลยูโร ปี 2008 สเปนก็ผ่านเข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จโดยพบกับเยอรมนีและคว้าแชมป์ไป ได้ในที่สุด
นักเตะที่น่า จับตา
ดาบิด บีย่า ซานเชซ (David Villa Sánchez) เกิดเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม ค.ศ. 1981 ที่เมืองลังเกรโอ แคว้นอัสตูเรียส บีย่าเป็นเจ้าของฉายา "เอลกวาเฆ่" (El Guaje ในภาษาอัสตูเรียสแปลว่าเด็ก) เจ้าของรางวัลรองเท้าทองคำ (Golden Boot) ในการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2008 ที่ผ่านมา ปัจจุบันเล่นให้กับสโมสรบาเลนเซียและทีมชาติสเปน ได้รับการยกย่องจากแฟนบอลว่าเป็นหนึ่งในศูนย์หน้าที่ครบเครื่องที่สุดของ สเปนนับตั้งแต่หมดยุคของราอูล กอนซาเลซ ปัจจุบันทำประตูให้กับทีมชาติสเปนชุดใหญ่ไปแล้ว 37 ประตูจากการลงเล่น 55 นัดคาดกันว่าอีกไม่นานเกินรอ บีย่า จะทำลายและสร้างสถิติยิงประตูสูงสุดตลอดกาลแซง ราอูล กอนซาเลซที่ทำเอาไว้ที่ 44 ประตูลงได้
ผู้ จัดการทีม
บิเซนเต้ เดล บอสเก้ ยอดกุนซือวัย 59 ปีรายนี้ เริ่มคุมทัพมาตั้งแต่ทีม"ราชันชุดขาว" ชุดบี ที่อยู่ในเซกุนด้า ดิวิชั่นบี ตั้งแต่ปี 1985 จนกระทั่งปี 1994 เขาได้มีโอกาสเข้าร่วมอยู่ในชุดสต๊าฟของทีมชุดใหญ่ จนกระทั่งเวลาผ่านไป 5 ปี ในปี 1999 จากการที่กุส ฮิดดิ้ง โดนเด้งออกจากเก้าอี้กุนซือ ทำให้ทางบอร์ดบริหารได้ตัดสินใจให้โอกาสเดล บอสเก้ ซึ่งขณะนั้นมีอายุได้ 44 ปี ขึ้นมาคุมทีมชุดใหญ่ เป็นครั้งแรกของตัวเขาเอง ซึ่งผลงานในการคุมทีมชุดขาวของเขานั้นก็ถือว่าเข้าตากรรมการเป็นอย่างยิ่ง เขาพาทีมขึ้นสู่จุดสูงด้วยด้วยการกวาดแชมป์มาหลายรายการทั้งแชมป์ลาลีกา (2001, 2003) ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก (2000, 2002), สแปนิช ซูเปอร์ คัพ (2001), ยูฟ่า ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ คัพ (2002) และศึกชิงแชมป์สโมสรโลก โดยโตโยต้า (2002)
บิเซนเต้ เดล บอสเก้ เกิดที่เมืองซาลามันก้า สานต่องานของหลุยส์ อาราโกเนส ผู้ซึ่งทิ้งความสำเร็จด้วยการนำทีมกระทิงดุคว้าแชมป์ยูโร 2008 ด้วยบอลในสไตล์สวยงาม ครองบอลเหนียวแน่นเสียบอลยาก ซึ่งกลายเป็นเอกลักษณ์และจุดเด่นของฟุตบอลประเทศสเปนไปเสียแล้ว สเปนมักใช้มิดฟิลด์ชั้นเยี่ยมในการขับเคลื่อนทีม ซึ่งผลงานที่ออกมานั้น ก็ล้วนเป็นการเก็บเกี่ยวชัยชนะมาได้อยู่เสมอๆ ยกเว้น ฝันร้ายครั้งใหญ่ เมื่อตอนศึกคอนเฟดฯ ที่คุมทีมพ่ายให้กับ อเมริกา ชนิดยิงไม่ได้สักประตู 0-2 ครั้งเดียวเท่านั้น
วาทะ
เปเล่กล่าวว่าสเปนยุคปัจจุบันทำให้คิดถึงทีมชาติบราซิลที่คว้าแชมป์โลกที่ เม็กซิโกในปี 1970 ที่น่าสนใจก็คือว่าทีมเซเลเซาชุดนั้นคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกหลังจากที่ชนะรอบคัด เลือกทุกนัด ความหมายของตำนาน "ไข่มุกดำ" ก็คือสเปนกลายเป็นทีมที่ไร้จุดอ่อนไปแล้ว
"ในวงการฟุตบอล ผมคิดว่าการไม่ยอมรับจุดด้อยก็คือจุดอ่อนในตัวของมันเอง ทุกๆ ทีมย่อมมีสิ่งนั้นอยู่และถึงแม้ว่าเราจะทำผลงานได้ยอดเยี่ยมในเวลานี้ มันก็มีสิ่งต่างๆ ที่เรายังต้องปรับปรุงกันต่อไป" ดาบิด บีย่า

ส่วนทีมที่เหลือในสายนี้ต้องลุ้นกันเอาเอง

นับถอยหลังWorldcup 2010

ทีมเด่น ทีมเต็งในแต่ละกลุ่ม
กลุ่ม จี





บราซิล


ไม่บอกก็ รู้ว่าทีมแซมบ้า-บราซิล แชมป์โลก 5 สมัย ลงเล่นฟุตบอลโลกทุกครั้งโดยมีเป้าหมายคว้าแชมป์อีกสมัย อยากจะได้ดาวอีก 1 ดวงติดที่หน้าอกเสื้อ คนเป็นกุนซืออย่างดุงก้า ที่เล่นฟุตบอลโลกมา 3 ครั้ง ก็รู้แก่ใจเช่นกันว่า อะไรที่ไม่ใช่แชมป์จะถือว่าล้มเหลว
เส้นทาง สู่แอฟริกาใต้
ความ โกรธ และผิดหวังของแฟนๆ อันเป็นปฏิกิริยา ที่มีต่อผลการแข่งขัน และฟอร์มของทีม ช่วงแรก เผยให้เห็นว่าแฟนแซมบ้า ตั้งความหวังไว้สูงแค่ไหน ทั้งที่จบรอบคัดเลือกโซนอเมริกาใต้ ด้วยการเป็นแชมป์กลุ่ม ทำสถิติชนะ 9 เสมอ 7 และแพ้ 2 และได้สิทธิ์เล่นรอบสุดท้ายโดยไม่ต้องลุ้น 3 เกมสุดท้าย แคมป์เขียวทองยังถูกประณามสาปส่ง หลังจากที่เสมอ 0-0 สามนัดติดในบ้าน ที่ทีมเจออาร์เจนติน่า, โบลิเวีย และโคลอมเบีย อย่างไรก็ตามทีมของดุงก้า มาติดเครื่องระเบิดฟอร์มร้อนตั้งแต่เมษายน 2009 ทำผลงานชนะ 5 เมรวด รวมการบุกไปกดอุรุกวัย 4-0 ที่มอนเตวิเดโอ และบุกไปชนะอาร์เจนติน่า 3-1 ที่โรซาริโอ และชัยชนะเหนือ "ฟ้าขาว" นี่เองทำให้บราซิล การันตีที่ไปฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย
นักเตะ ที่น่าจับตามอง
ยากยิ่ง กว่างมเข็มในมหาสมุทร ที่จะให้คัดนักเตะเก่งๆ 2-3 ตัวในทีมบราซิลที่ฝีเท้าเทพๆ ทั้งนั้น อย่างไรก็ตามตลอดปี 2009 นักเตะที่ฟอร์มดี และเป็นแกนหลักของทีมก็คือ ชูลิโอ เซซาร์ ผู้ รักษาประตูจอมเซฟ กาก้า ที่ฟอร์มเฉียบในศึกฟีฟ่า คอนเฟดเดอเรชั่นส์ คัพ และ หลุยส์ ฟาเบียโน่ ดาวยิงระดับ เวิลด์ คลาส ที่ยิงคนเดียว 5 ประตู รวมสองประตูล้ำค่านัดชิงชนะเลิศรายการนี้ที่พบกับสหรัฐ
ผู้ จัดการทีม
ก่อนจะรับ จ๊อบคุมทีมชาติ ดุงก้า เคยเล่นให้ทีมชาติบราซิลทำศึกฟุตบอลโลกมาแล้ว รู้ดีว่าการทำงานกดดันเพียงใด หลังจากที่เป็นแพะรับบาป กรณีทีมกระเด็นตกรอบ 2 ฟุตบอลโลก 1990 ดุงก้า ที่เป็นกัปตันทีมอีก 4 ปี ต่อมา พาบราซิลคว้าแชมป์โลก ที่สหรัฐ อเมริกาเป็นเจ้าภาพ และถึงจะถูกตั้งคำถามความสามารถในการเป็นโค้ช ดุงก้า ตอบโต้ข้อสงสัยด้วยการพาทีม แซมบ้า คว้าแชมป์โคปา อเมริกา 2007, ฟีฟ่า คอนเฟดเดอเรชั่นส์ คัพ 2009 และเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลก 2010 โดยไม่ต้องลุ้นเหงื่อตก 3 นัดสุดท้าย
สถิติ
- บราซิล กำลังจะเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเป็นสมัยที่ 19 ติดต่อกัน และก็เป็นทีมเดียวในจักรวาล ที่ร่วมมหกรรมฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดทุกครั้ง
- บราซิล ยังเป็นประเทศเดียว ที่คว้าแชมป์โลก 5 สมัย สถิติจากการเล่นทั้งหมด 92 นัดคือ ชนะ 64 เสมอ 14 และแพ้ 11
- ช่วงระหว่าง 15 มิถุนายน 2008 ถึง 11 ตุลาคม 2009 ทีมเซเลเซา ไม่แพ้ใคร 19 นัด
วาทะ
"บราซิล ต้องรู้วิธีรับมือความคาดหวังจากการเป็นเต็งแชมป์ ต้องไม่ให้สิ่งนี้กดดันเรา เหมือนที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เป็นอันขาด" กาก้า กล่าวหลังจากที่ชนะอาร์เจนติน่า และได้ผ่านเข้ารอบสุดท้าย




โปรตุเกส

รองแชมป์ ยูโร 2004 และอันดับที่ 4 ในฟุตบอลโลก 2006 โปรตุเกส คือทีมที่เล่นฟุตบอลได้น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดในรอบไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ กระนั้นพวกเขาก็ไม่เคยประสบความสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันนักในเวทีลูกหนังระดับ ชาติเลย โดยในทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลโลกแล้ว พวกเขาทำได้ดีที่สุดด้วยการเข้าถึงรอบรองชนะเลิศเท่านั้น และคราวนี้ก็หวังว่าพวกเขาจะทำได้ดีกว่าที่แล้ว ๆ มาทั้งหมดต่อไป

ด้าน คาร์ลอส เคยรอซ เทรนเนอร์เชื้อสายโมซัมบิกันของพวกเขานั้น ก็ไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้าสำหรับประเทศแอฟริกาใต้เท่าไหร่นักแต่อย่างใดเลย เมื่อเขาเคยคุมทีมชาติ บาฟาน่ามาแล้วในช่วงปี 2000-2002 ที่ผ่านมา และมาคราวนี้ กับทีมที่ประกอบไปด้วยดาวเตะชั้นดีอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ,เปเป้ และ เดโก้ นั้น เคยรอซ รู้ดีทีเดียวว่าความคาดหวังที่มีต่อทีมนี้นั้นมีสูงแค่ไหนแน่นอน

เส้นทาง สู่ เวิลด์ คัพ

โปรตุเกส เริ่มต้นได้ไม่ดีเท่าไหร่นักในรอบคัดเลือก เมื่อพวกเขาเอาชนะคู่แข่งได้เพียงแค่เกมเดียวเท่านั้น จาก 5 นัดแรกในรอบดังกล่าว ซึ่งนั่นทำให้พวกเขาถูกคาดหมายจะตกรอบไปอย่างแน่นอนเลยทีเดียว กระนั้นด้วยการเร่งฟอร์มกลับมาในช่วงโค้งสุดท้าย ประกอบกับการทำประตูได้ถึง 8 ลูก และไม่เสียสักลูกเดียวเลย ทำให้พวกเขาสามารถเร่งแซงขึ้นมาเป็นอันดับที่ 2 และคว้าสิทธิ์ไปดวลเพลย์ออฟได้ และในรอบดังกล่าวนั้นเอง พวกเขาต้องพบกับ บอสเนีย ซึ่งพวกเขาก็ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป เมื่อเอาชนะทั้ง 2 นัด ด้วยสกอร์ 1-0 ทั้งหมด ทำให้พวกเขาผ่านเข้ารอบ แม้ว่าจะต้องลงเล่นโดยปราศจาก คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กัปตันทีมคนสำคัญไป เนื่องจากบาดเจ็บด้วยก็ตาม

ดาวเด่น ประจำทีม

ในขณะที่เหล่าแฟนบอลกำลังตื่นเต้น เกี่ยวกับความคาดหวังของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ในเวทีลูกหนังระดับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก นักเตะเจ้าของรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของฟีฟ่า ปี 2008 รายดังกล่าว มีผลงานที่ไม่ดีเท่าไหร่นักในรอบคัดเลือก เมื่อทำประตูไม่ได้เลยในการลงเล่นทั้งหมด 7 นัดในรอบดังกล่าวที่ผ่านมา กระนั้นด้วยความสามารถของซูเปอร์สตาร์จากค่าย เรอัล มาดริด ที่สามารถสร้างโอกาสอันยิ่งใหญ่ให้กับทีมได้แล้ว ก็คงไม่เป็นที่สงสัยแต่อย่างใดว่า เขาจะต้องเป็นคนหนึ่งที่จะถูกได้รับการจับตามองอย่างมากในฟุตบอลโลก 2010 ครั้งที่จะถึงนี้อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม โปรตุเกส ชุดนี้ก็เป็นที่ถกเถียงกันมากถึงเรื่องความแข็งแกร่งในแผงกองหลัง ทว่าด้วยความมุ่งมัน และจุดเด่นในเรื่องลูกกลางอากาศของ เปเป้ และ บรูโน่ ก็ถือว่าเป็นส่วนสำคัญของทีม เช่นเดียวกับเหล่ากองหลังที่เหลือ อาทิ โชเซ่ โบซิงวา และ ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่ ที่เข้ามาช่วยเติมเต็มด้วยการทำงานอย่างหนัก และเพิ่มเติมในเรื่องของความเหนี่ยวแน่นด้วย เช่นเดียวกับ 2 มิดฟิลด์ประสบการณ์สูงอย่าง ซิเมา และ เดโก้ ที่ก็จัดได้ว่าเป็นดาวเด่นในที่ชุดนี้เช่นเดียวกัน

ผู้ จัดการทีม

คาร์ลอส เคยรอซ กุนซือของทีม เขาเคยมีประสบการณ์การนำทีมชาติโปรตุเกสชุดเล็กคว้าแชมป์เยาวชนโลกมาแล้วถึง 2 ครั้งติดต่อกันในปี 1989 และ 1991 ซึ่งในทีมชุดนั้น ลูกทีมของเขาก็ประกอบไปด้วยดาวเตะชั้นยอดมากมาย อาทิ รุย คอสต้า , หลุยส์ ฟิโก้ รวมไปถึง เฟร์นานโด เคาโต้ ด้วย และในทีมชุดดังกล่าวนี้เองก็ได้ถูกขนานนามว่า “The Golden Generation” หรือยุคทองที่ยอดเยี่ยมมากเลยทีเดียว

ด้านในระดับทีมชุดใหญ่ เขาเคยร่วมงานทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยให้กับ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก่อนที่จะผันตัวไปรับงานเป็นนายใหญ่ของ เรอัล มาดริด อยู่ 10 เดือน และกลับมาร่วมงานกับบรมกุนซือชาวสก็อตต์เป็นคำรบ 2 อีกครั้ง หลังจากที่ถูกทีม ราชันชุดขาวไล่ออกมา และล่าสุดภายหลังจบศึก ยูโร 2008 ที่ หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ หมดสัญญากับทางสมาคม พร้อมทั้งขอวางมือไปนั้น เคยรอซ ผู้ซึ่งเคยขึ้นมาชิมลางลองคุมทีมชุดใหญ่ของแดนฝยทองอยู่ช่วงหนึ่งระหว่างปี 1991-1993 (พาทีมล้มเหลวไม่ได้เข้าร่วมในศึก ยูโร 92 และ ฟุตบอลโลก 94) มาแล้ว ก็ได้ตกลงรับงานคุมทีมชุดใหญ่เป็นครั้งที่ 2 ในที่สุด ก่อนที่จะพาทีมเตรียมลงฟาดแข้งในศึกฟุตบอลโลก 2010 ณ ประเทศแอฟริกาใต้ ที่จะถึงในช่วงกลางปี 2010 นี้ต่อไป

ผลงานที่ ผ่านมาในฟุตบอลโลก

ไม่น่าเชื่อว่าในปี 1966 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ โปรตุเกส ได้เข้าร่วมในทัวร์นาเมนต์รอบสุดท้ายของฟุตบอลโลกนั้น พวกเขาสามารถพาตัวเองคว้าอันดับที่ 3 ในหนนั้นได้เป็นผลสำเร็จ อีกทั้ง ยูเซบิโอ ดาวเตะระดับตำนานของทีม ก็สามารถคว้ารางวัล รองเท้าทองคำหรือดาวซัลโวประจำทัวร์นาเมนต์ ได้อีกด้วย ซึ่งถือว่าในการเปิดซิงคราวนั้น จัดได้ว่าเป็นผลงานที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของทีมฝอยทองในฟุตบอลโลกทุก ครั้งที่ผ่านมาเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตามภายหลังจาก เวิลด์ คัพ ในปีดังกล่าว ทีม ฝอยทองก็ไม่สามารถได้เข้าไปสัมผัสกับทัวร์นาเมนต์ลูกหนังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก นี้ได้อีกเลย จนกระทั่งถึงปี 1986 ที่พวกเขาสามารถฟันฝ่าเข้าไปเล่นในรอบสุดท้ายได้ ก่อนที่จะตกรอบไปในปีนั้น เช่นเดียวกับครั้งต่อมาในปี 2002 ที่ต้องกระเต็นตกรอบไปในจุดเดียวกัน ก่อนที่ปี 2006 หรือครั้งที่แล้ว ณ ประเทศเยอรมัน ที่ผ่านมา พวกเขาสามารถกรุยทางเข้าถึงรอบรองชนะเลิศมาได้ ก่อนที่จะไปพ่ายแพ้ให้กับ ฝรั่งเศส ในรอบดังกล่าว 0-1 พร้อมทั้งจบด้วยอันดับที่ 4 ด้วยการพ่ายให้เจ้าภาพ เยอรมัน ในเวลาต่อไป กระนั้นสำหรับ เวิลด์ คัพ หนนี้นี่ถือเป็นครั้งที่ 5 ของพวกเขาแล้วเช่นเดียวกัน

วาทะ

โปรตุเกส เป็นตัวเต็งที่จะคว้าแชมป์ เรามีผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ และเราก็ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจที่มากมายของเราแล้ว นี่คือช่วงเวลาที่เราเป็นหนึ่งเดียวกันจริง ๆเลียดสัน กองหน้าจอมเก๋าของทีม กล่าวภายหลังจบเกม รอบเพลย์ออฟที่เอาชนะ บอสเนีย ฯ ได้สำเร็จ พร้อมทั้งคว้าตั๋วไปเล่นรอบสุดท้ายฟุตบอลโลก 2010 ณ ประเทศแอฟริกาใต้ เป็นที่เรียบร้อยในที่สุด




วันพุธที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

นับถอยหลังWorldcup 2010

ทีมเด่น ทีมเต็งในแต่ละกลุ่ม
กลุ่ม เอฟ





อิตาลี

อิตาลี แชมป์เก่าเมื่อ 4 ปีที่แล้ว จัดเป็นหนึ่งในทีมเต็งที่มีโอกาสได้สัมผัสถ้วย ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ ประจำฟุตบอลโลก 2010 ที่ประเทศแอฟริกาใต้ หนนี้มากที่สุด นอกจากนี้ อิตาลี ยังเป็นเพียง 1 ใน 2 ทีม ร่วมกับบราซิล ที่เคยป้องกันแชมป์ฟุตบอลโลกได้สำเร็จด้วย และในฟุตบอลโลกนี้ ลูกทีมของ มาร์เชลโล่ ลิปปี้ จะได้พิสูจน์ให้เห็นกันว่า พวกเขาจะทำได้เหมือนกับนักเตะรุ่นก่อนที่สามารถคว้าแชมป์ได้ 2 ครั้งติดต่อกันในปี 1934 และ 1938 หรือไม่

เส้นทางสู่ แอฟริกาใต้

ถึงแม้ว่า อัซซูรี่อิตาลี จะเพิ่งผิดหวังมาจากศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 มาก่อนหน้านี้ ทว่าในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกโซนยุโรป ซึ่งพวกเขาอยู่ในกลุ่ม 8 ที่ผ่านมา พวกเขาจบด้วยการเป็นอันดับที่ 1 ของกลุ่ม โดยที่มีผลงานชนะ 7 นัด เสมอ 3 นัด ยิงได้ 18 เสีย 7 ประตู

อิตาลี เริ่มต้นรอบคัดเลือกด้วยการเอาชนะ ไซปรัส 2-1 หลังจากนั้น พวกเขาก็ยึดอันดับ 1 ของกลุ่มมาตลอด แต่ก็ใช่ว่าการเข้ารอบของพวกเขาจะเป็นไปแบบง่ายดาย เพราะกว่าที่พวกเขาจะสามารถการันตีการผ่านเข้ารอบสุดท้าย ก็จนกระทั่งเหลือเพียงแค่ 1 นัดก่อนจะจบการแข่งขันรอบคัดเลือกเท่านั้น

ส่วนดาวซัลโวของทีมในรอบคัดเลือกที่ผ่านมา อัลแบร์โต้ จิลาร์ดิโน่ หัวหอกจากสโมสร ฟิออเรนติน่า คือผู้เล่นคนนั้น โดยเขาทำได้ทั้งสิ้น 4 ประตู และ 3 ลูกในนั้น คือแฮตทริกจากเกมที่เอาชนะ ไซปรัส 3-2 ในนัดสุดท้ายของรอบคัดเลือกที่ผ่านมานั่นเอง

นักเตะที่ต้อง จับตา

พูดถึงสตาร์ตัวเก่งของ ทีมชาติอิตาลี จานลุยจิ บุฟฟ่อน นายทวารตัวเก่งสโมสร ยูเวนตุส วัย 31 ปี จะต้องเป็นหนึ่งในนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย บุฟฟ่อนเป็นหนึ่ง ในผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดในโลกยุคปัจจุบันนี้ และยังเป็นแกนหลักสำคัญในแนวรับของอิตาลีในทีมชุดนี้ด้วย การเซฟลูกโหม่งชนิดไม่น่าเชื่อของ ซีเนอดีน ซีดาน เพลย์เมคเกอร์ทีมชาติฝรั่งเศสในช่วงต่อเวลาพิเศษรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 2006 ที่ผ่านมา บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าทำไมเขาถึงเป็นผู้รักษาประตูชั้นยอดของโลก

นอกเหนือจาก บุฟฟ่อน แล้ว ยังมี ฟาบิโอ คันนาวาโร่ ปราการหลังวัย 36 ปี กัปตันทีมคนสำคัญของทีมชาติอิตาลีชุดนี้ และอดีตเจ้าของรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของโลก 2006 ของฟีฟ่า ที่ผ่านมา นอกจากนี้เขายังเป็นผู้เล่นที่ติดทีมชาติเยอะที่สุดในทีมชุดปัจจุบัน โดยติดธงไปแล้วทั้งสิ้นด้วยกัน 130 นัด

ในแผงกองกลาง เจนนาโร่ กัตตูโซ่ ขาโหดจอมขยัน เป็นอีกหนึ่งนักเตะที่น่าจับตามองในทีมชุดนี้ ในเรื่องความสามารถของเขานั้น คงไม่ต้องบรรยายกันให้มากนัก ดาวเตะวัย 31 ปีรายนี้ยังคงเป็นผู้เล่นฟันเฟืองสำคัญในแดนกลาง รวมถึงเป็นหัวใจสำหรับทีมอัซซูรี่เลยทีเดียว อีกจุดเด่นที่สำคัญที่สุดของเขาก็คือ จิตใจที่ไม่เคยยอมแพ้ และเป็นแรงบันดาลใจแก่เพื่อนร่วมทีมอีกด้วย

กุนซือ

มาร์เชลโล่ ลิปปี้ เทรนเนอร์ทีมชาติอิตาลี จัดเป็นเทรนเนอร์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่ง และยังเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องของการแก้เกมให้ทีมด้วย โดยไม่ต่ำกว่า 5 จาก 12 ประตูที่ทำได้ในฟุตบอลโลกปี 2006 มาจากตัวสำรองที่เขาเปลี่ยนตัวลงไปทั้งสิ้น ภายหลังจากการประสบความสำเร็จดังกล่าว ลิปปี้ ก็ได้ตัดสินใจที่จะลาออกจากการคุมทีมชาติไปเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2006 ทว่าจากความตกต่ำของทีมชาติในศึก ยูโร 2008 ลิปปี้ ก็ได้กลับมาคุมทีมอีกครั้ง ซึ่งเขาได้เริ่มต้นสร้างแนวรับของทีมขึ้นมาใหม่แทบจะทันทีหลังจากที่เข้ารับ ตำแหน่ง แถมยังเปลี่ยนแปลงในแผงกองกลาง รวมไปถึงทดลองที่จะใช้กองหน้าใหม่ ๆ หลายต่อหลายคนอีกด้วย โดยเขานำทีมทำสถิติไม่พ่ายแพ้ให้กับใครถึง 31 นัด ซึ่งในความรู้สึกของเขา แท็กติกที่เขาใช้นั้นไม่ต้องเป็นที่สงสัยอะไรนั่นเอง

สำหรับการแข่งขันรอบคัดเลือกที่ผ่านมา มาร์เชลโล่ ลิปปี้ ได้ใช้นักเตะทั้งสิ้น 36 คนด้วยกัน โดย ฟาบิโอ คันนาวาโร่ และ จานลูก้า ซามบร็อตต้า คือผู้เล่นที่ได้ลงสนามมากที่สุดที่ 810 นาทีเท่ากัน

ฟุตบอลโลกที่ ผ่านมา

อิตาลี สามารถผ่านเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลกได้ทั้งสิ้น 16 ครั้ง จากทั้งหมด 18 ครั้ง ซึ่ง 2 ครั้งที่พวกเขาต้องพลาดไป คือปี 1930 และปี 1958 นั่นเอง โดย พวกเขาสามารถคว้าแชมป์โลกได้ถึง 4 สมัย นั่นคือ 1934 , 1938 , 1982 และ 2006 และจบด้วยตำแหน่งรองชนะเลิศปี 1970 กับ 1994 รวมไปถึงอันดับที่ 3 ในปี 1990 ที่พวกเขาเป็นเจ้าภาพด้วยนั่นเอง

เกียรติประวัติ

- แชมป์ ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ 4 สมัย : 1934 , 1938 , 1982 , 2006
- แชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป (ยูโร) : 1968
- แชมป์ฟุตบอลโอลิมปิคเกมส์ : 1936

วาทะ

ไม่มีทีมใดเหนือว่าอิตาลี ผมไม่ได้ต้องการพูดว่า พวกเราดีกว่าทุกทีม แต่คุณอาจจะพูดได้ว่า พวกเราไม่ได้ด้อยกว่าทีมอื่น ๆ เลยต่างหากมาร์เชลโล่ ลิปปี้ เทรนเนอร์ทีมชาติอิตาลี






ปารากวัย

ปารากวัย ทีมจากทวีปอเมริกาใต้ เวลานี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในทีมที่เล่นฟุตบอลได้ดี ที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ไปแล้ว หลังจากสามารถผ่านเข้าไปเล่นในมหกรรมลูกหนังที่ยิ่งใหญ่อย่างฟุตบอลโลก ได้ถึง 4 ครั้งติดต่อกัน และภายหลังการปรากฏโฉมหน้าเป็นครั้งแรกในฟุตบอลโลกเมื่อ 40 ปีก่อน ปารากวัย ก็ทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในฟุตบอลโลก 3 ครั้งที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 1998 ที่ฝรั่งเศส กับปี 2002 ที่เกาหลีใต้/ญี่ปุ่น ที่พวกเขาสามารถตะลุยผ่านเข้าไปถึงรอบ 16 ทีมสุดท้ายได้ ก่อนจะอกหักด้วยน้ำมือของ ฝรั่งเศส และ เยอรมนี ตามลำดับ นั่นถือว่าเป็นผลงานที่ดีที่สุดของพวกเขาเลยทีเดียว และในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 ณ แดนกาฬทวีป หนนี้ เป้าหมายของพวกเขาก็คือการผ่านรอบแบ่งกลุ่ม เพื่อเข้าไปเล่นในรอบตัดเชือกให้ได้ต่อไป
เส้นทางสู่ แอฟริกาใต้
ทีมชาติปารากวัย ภายใต้การคุมทีมของ เกราร์โด้ มาร์ติโน่ ยอดเทรนเนอร์ชาวอาร์เจนตินานั้น แทบจะไม่ได้พบกับอุปสรรคที่ใหญ่หลวง หรือหนักหนาแต่อย่างใดในรอบคัดเลือก พวกเขาสามารถผ่านเข้ารอบสุดท้ายได้ตั้งแต่ก่อนจบนัดสุดท้ายตามโปรแกรมในรอบ คัดเลือกถึง 2 นัด นอกจากนี้ในช่วงแรกของการแข่งขันรอบคัดเลือก พวกเขายังทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจ เมื่อเก็บชัยชนะได้ถึง 7 จากทั้งหมด 10 เกม ซึ่งรวมถึงนัดที่เอาชนะ บราซิล 1-0 ในบ้านของตัวเองด้วย แม้ว่าในช่วงท้ายพวกเขาจะทำผลงานได้แย่ลง แต่ก็ยังสามารถควบคุมสถานการณ์ และผ่านเข้ารอบสุดท้ายไปได้อย่างไม่มีปัญหา โดยทำคะแนนเข้ามาเป็นอันดับ 3 ตามหลัง บราซิล และ ชิลี ซึ่งคว้าอันดับ 1 และ 2 นั่นเอง
นักเตะที่ต้อง จับตา
มาร์ติโน่ สามารถเรียกใช้บริการผู้เล่นที่มีชื่อเสียงได้มากมาย และส่วนใหญ่จะเล่นอยู่ในลีกเม็กซิโกและลีกในยุโรป อย่างไรก็ตาม แม้ว่า ปารากวัย จะมีผู้เล่นที่เปี่ยมคุณภาพกระจัดกระจายไปหลายพื้นที่เช่นนี้ แต่ผู้เล่นที่มีชื่อเสียง และสำคัญที่สุดของพวกเขาก็มาจากนักเตะในตำแหน่งแดนหน้านั่นเอง
พูดถึงชื่อ โรเก้ ซานตา ครูซ ก็คงไม่จำเป็นต้องบรรยายอะไรกันให้มากความอีก หลังจากที่เขาได้พิสูจน์ตัวเองให้เห็นในเวทีพรีเมียร์ชิพของอังกฤษมานักต่อ นักแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เล่นในหลายเกมในรอบคัดเลือกที่ผ่านมา เนื่องจากอาการบาดเจ็บ แต่เรื่องนั้นก็ไม่ได้ลดความสำคัญที่มีต่อทีมของเขาแม้แต่น้อย
นอกจากนี้ ซัลบาดอร์ คาบานาส และ เนลสัน วัลเดซ ก็เป็นอีก 2 กองหน้าที่ได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้นหลามกับผลงานในรอบคัดเลือกที่ผ่านมา ที่ทั้ง 2 คนทำประตูรวมกันได้ถึง 11 ประตูเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม การจะส่งทั้ง 2 คนและ ซานตา ครูซ ลงเล่นพร้อมกันนั้น ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายดายเท่าไหร่ เมื่อพวกเขาทั้ง 3 เคยลงสนามพร้อมกันมาแล้วในรอบสุดท้ายปี 2006 ที่ประเทศเยอรมนี ซึ่งผลงานที่ออกมาก็ไม่ดีนัก ทว่าสำหรับฟุตบอลโลกครั้งนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่มีหัวหอกชั้นดีเช่นนี้ น่าจะช่วยได้มากยามที่ ปารากวัย ต้องการได้ประตูในช่วงเวลาคับขันต่อไป
กุนซือ
เกร์ราโด้ มาร์ติโน่ กุนซือชาวอาร์เจนติน่าของทีม ปัจจุบันถือว่าเป็นโค้ชที่ได้รับการยอมรับว่ายอดเยี่ยมคนหนึ่งในวงการฟุตบอล อเมริกาใต้ ฉายาของเขานั้นคือ “เอล ตาต้า” ซึ่งได้มาจากสมัยเมื่อครั้งยังเป็นผู้เล่นในตำแหน่งกองกลางตัวรุกในยุค 90 หลังจากนั้น เขาได้เริ่มผันตัวมาจับงานโค้ชตั้งแต่ปี 1998 โดยเริ่มต้นจากสโมสรที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงในบ้านเกิด ก่อนที่จะมาคุมทีมในปารากวัยหลังจากนั้น โดยเป็นการคุมทีม เกร์โร่ ปอร์เตโน่ และ ลิเบอร์ตัด ซึ่งก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีด้วย ก่อนที่จะได้คุมทีมชาติปารากวัยในเวลาต่อมา
ฟุตบอลโลกที่ ผ่านมา
ฟุตบอลโลก 2010 เป็นการผ่านเข้ารอบสุดท้ายครั้งที่ 8 สำหรับ ปารากวัย และเป็นครั้งที่ 4 ติดต่อกันของพวกเขา นับตั้งแต่ทัวร์นาเมนต์ปี 1998 ที่ประเทศฝรั่งเศสด้วย ซึ่งในการเข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด 8 ครั้งดังกล่าว พวกเขาเก็บชัยชนะได้ทั้งหมด 6 นัด เสมอ 7 นัด และแพ้ไปถึง 9 นัด ทว่าปารากวัย ยังไม่เคยเอาชนะ 2 เกมติดต่อกันในรอบสุดท้ายได้เลย ซึ่งพวกเขาต้องมุ่งหวังต่อไป รวมถึงการมุ่งเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายให้ได้ด้วย
วาทะ
“ความลับในการผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายของเราก็คือ ความจริงที่ว่าผู้เล่นของเรา และทีมงานที่เกี่ยวข้องในทีมชาติทั้งหมด ต่างมีความรับผิดชอบ และพยายามสร้างปัญหาให้น้อยที่สุด ถ้าพวกเราล้มเหลวในเรื่องเหล่านี้ พวกเราก็จะไม่สามารถเข้าไปเล่นในรอบสุดท้ายได้อย่างแน่นอน และเราก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ด้านมืดของฟุตบอลปารากวัยด้วย ทุกคนที่เป็นโค้ชทีมชาติ ต่างรับงานแบบนี้ด้วยเหตุผล 1-2 อย่างเท่านั้น นั่นคือ การมีงานทำ และเข้าไปอยู่ในประวัติศาสตร์ ซึ่งผมขอเลือกทั้ง 2 อย่างเลย” เกร์ราโด้ มาร์ติโน่ เทรนเนอร์ทีมชาติปารากวัย กล่าว

นับถอยหลังWorldcup 2010

ทีมเด่น ทีมเต็งในแต่ละกลุ่ม
กลุ่ม อี





ฮอลแลนด์


"อัศวินสีส้ม" ฮอลแลนด์ นับได้ว่าเป็นยอดทีมฟุตบอลที่สุดแสนจะอาภัพบนเส้นทางสายฟุตบอลโลก ที่พูดแบบนั้นก็เพราะว่ายอดทีมจากแดนยุโรปทีมนี้ยังไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัส ถ้วยเวิล์ดคัพแม้เพียงสักครั้งเดียว ทั้งๆที่ยอดทีมจากแดนกังหันทีมนี้มีโอกาสเข้าชิงชนะเลิศในรายการนี้ถึง 2 ครั้ง 2 ครา ครั้งแรกคือการพ่ายแพ้ต่อ ทีมเจ้าภาพ เยอรมันตะวันตกในปี 1974 แบบฉิวเฉียด 2-1 และอีก 4 ปีต่อมา ฝันร้ายเจ้าบ้านก็กลับมาหลอกหลอนพวกเขาเหล่า"อัศวินสีส้ม" ฮอลแลนด์อีกหน เมื่อพวกเขาต้องแพ้ต่อเจ้าบ้านอีกครั้ง โดยครั้งนี้เป็นการแพ้ต่ออาร์เจนติน่าไป 3-1 ในปี 1978 หลังจากนั้นเป็นเวลาเกือบ 10 ปี ทีมชาติฮอลแลนด์ก็ยังไม่เคยเข้าใกล้ความสำเร็จ จนกระทั่งในปี 1988 ภายใต้การนำทีมของ มาร์โก แวน บาสเท่น ฮอลแลนด์ก็กลับมาผงาดได้อีกครั้ง ด้วยการคว้าแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปมาครองได้สำเร็จ ด้วยการเอาชนะสหภาพโซเวียตไปได้ 2-0 แต่หลังจากหมดยุคของ แวน บาสเท่น แล้วฮอลแลนด์ก็กลับไปสู่วังวนเดิมอีกครั้ง โดยผลงานที่ดีที่สุดหลังยุดของแวน บาสเท่น ก็คือการคว้าอันดับ 4 ในฟุตบอลโลกที่ฝรั่งเศส

ฮอลแลนด์ เป็นทีมที่มีเกมรุกหวือหวา ใช้การต่อบอลที่แม่นยำในการเข้าทำที่เรียกว่า "โทเทิ่ลฟุตบอล" จนครั้งครั้งหนึ่งทีมชาติฮอลแลนด์ถูกขนานนามว่า "Clockwork Orange"
ในฟุตบอลโลกครั้งนี้ฮอลแลนด์ภายใต้การนำทัพของ เบิร์ท ฟาน มาร์ไวจ์ ผู้จัดการทีมคนปัจจุบันได้รับการคาดหวังไว้มาก เนื่องจากเขาเป็นผู้ดึง"ทัพสีส้ม"ขึ้นมาจากความผิดหวัง ที่ไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลยูโร 2008 รอบสุดท้าย ให้กลับมาอยู่บนเส้นทางของยอดทีมได้สำเร็จ
เส้นทาง สู่แอฟริกาใต้ เวิล์ดคัพ 2010
ในรอบคัดเลือก เวิล์ดคัพ 2010 เส้นทางของฮอลแลนด์ดูจะง่ายดาย เมื่อได้มาอยู่ในกลุ่ม 9 ร่วมกับนอร์เวย์ สก็อตแลนด์ มาซิโดเนีย และไอซ์แลนด์ ที่ไม่ใช่ทีมหิน และแข็งแกร่งมากนักและผลที่ออกมาก็เป็นไปตามคาด เมื่อมาร์ไวจ์สามารถนำลูกทีมของเขาผ่านเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลก 2010 โดยปราศจากริ้วรอย ชนะรวดทั้ง 8 เกม โดยยิงประตูคู่แข่งไปถึง 18 ประตู และเสียเพียงแค่ 2 ประตูเท่านั้น โดยประตูที่เสียทั้ง 2 ประตูของพวกเขาก็มาจากการเล่นเป็นทีมเยือนทั้งสิ้น
ผู้ จัดการทีม
เบิร์ท ฟาน มาร์ไวจ์ กุนซือผู้เข้ามากอบกู้ทีมชาติฮอลแลนด์จากยุคตกต่ำ ที่ย่ำแย่ถึงขนาดตกรอบฟุตบอลยูโรรอบคัดเลือก ให้กลับมามีลุ้นในฟุตบอลโลก 2010 อีกครั้ง ก่อนหน้าที่เขาจะเข้ามาคุมทีมชาติฮอล์แลนด์ กุนซือผู้มากความสามารถผู้นี้เคยคุมทีมเฟเนยูร์ด ทีมดังแห่งลีกฮอลแลนด์ คว้าแชมป์ยูฟ่าคัพได้ในปี 2001-2002 ก่อนที่จะย้ายไปทำทีมโบรุทเซีย ดอร์ทมุนด์ในเยอรมันเมื่อปี 2004 แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่ใครหลายคนคาดไว้ ดังนั้นเขาจึงย้ายกลับไปเฟเนยูร์ดรังเก่าของเขาในปี 2006 อีกครั้งหนึ่ง และเขาสามารถคว้าแชมป์เคเอนวีบี คัพ ได้ตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่เขากลับมายังฮอลแลนด์ จนในที่สุดเมื่อฮอลแลนด์ภายใต้การทำทีมของอดีตศูนย์หน้าพรายกระซิบ มาร์โก ฟาน บาสเท่น ทำผลงานได้ย่ำแย่ ตกรอบคัดเลือกศึกยูโร 2008 มาร์ไวจ์ จึงเป็นตัวเลือกแรกที่ ฮอลแลนด์เลือกเข้ามาแก้ไขปัญหา และกอบกู้ทีมชาติฮอลแลนด์ขึ้นมา จนถึงทุกวันนี้
ดาวเด่น ประจำทีม
นอกจากนักเตะจอมเก๋า เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ผู้รักษาประตูจอมหนึบของทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และรุด ฟาน นิสเตลรอย กองหน้าของทีมฮัมบูร์ก ที่อาจจะได้รับโอกาสติดทีมชาติชุดนี้แล้ว ทีมของมาร์ไวจ์ก็ยังมีสตาร์ดังอีกมากมายที่สามารถพลิกเกมได้ตลอดเวลาอยู่ใน ทีม ไม่ว่าจะเป็น อาร์เยน ร็อบเบน ปีกจอมขับเคลื่อนความเร็วสูง, โยริส มาธิจเซ่น เซนเตอร์แบ็คผู้โด่งดังมาจากทีมวิลเลี่ยม ทเว, อังเดร ออยเยอร์ ปราการหลังวัย 35 ปี, เดิร์ก เค้าท์ ถอมถึกเจ็บยาก ของลิเวอร์พูล, มาร์ค ฟาน บอลเมล ลูกบุญธรรมของมาร์ไวจ์ เพลย์เมคเกอร์ของ บาเยิร์น มิวนิค, คลาส แยน ฮุนเตล่าร์ ผู้มีสไตย์การเล่นเดิมตามรอย นิสเตลรอย และ โจวานนี่ ฟาน บรองฮอร์ท จอมเก๋าจาก เฟเยนูร์ด ซึ่งนับเป็นมรดกตกทอดมาตั้งแต่ยุคของ ฟาน บาสเท่น อีกทั้งทีมชุดนี้ยังมีผู้เล่นรายอื่นที่กำลังโชว์ฟอร์มได้อย่างน่าประทับใจ อยู่ในขณะนี้ เช่น ราฟาเอล ฟาน เดอร์ ฟาร์ท, โรบิน ฟาน เพอร์ซี่, ไนเกล เดอ ยอง และ เวสลี่ย์ ชไนเดอร์ อีกด้วย
บอลโลก ที่ผ่านมา
8 ครั้ง ที่ฮอลแลนด์ได้ผ่านเข้าไปเล่นรอบสุดท้ายในฟุตบอลโลก ผลงานที่ทีม"สีส้ม" ทำได้ดีที่สุดนั้น คือคว้าตำแหน่งรองชนะเลิศฟุตบอลโลก ในปี 1974 ที่เยอรมันตะวันตก ผู้เป็นเจ้าภาพ ยิงแซงชนะ 2-1 และ ปี 1978 ที่โดนเจ้าภาพ อาร์เจนติน่า ยิงแซงในช่วงทะเวลา เอาชนะไป 3-1 นอกเหนือจากนั้นก็ไม่เคยเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศแต่อย่างใด มีเพียงปี 1998 ที่ฝรั่งเศส ที่พวกเขาทำได้อันดับ 4 เพราะชิงที่ 3 แพ้สเปนไปอย่างน่าเสียดาย
รางวัล เกียรติยศ
คว้าแชม ยูโรเปี้ยน แชมเปี้ยนชิพ 1 สมัย ปี 1988
วาทะเด็ด
"พวกเรามีภารกิจ ซึ่งภารกิจที่เราต้องทำนั่นก็คือ คว้าแชมป์โลกให้ได้" แฟรงค์ เดอบัวร์ อดีตยอดขุนพลแดนหลังของเนเธอร์แลนด์ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้ช่วยโค้ช กล่าวเอาไว้สั้นๆ




เดนมาร์ก
ห่างหายไปจากทัวร์นาเมนต์ใหญ่ๆไปถึง 6 ปี นับตั้งแต่ฟุตบอลโลกปี 2006 ที่เยอรมัน และ ฟุตบอลยูโร 2008 ที่ออสเตรียกับสวิตเซอร์แลนด์เป็นเจ้าภาพร่วม แต่สุดท้าย"เทพนิยายเดนส์"ก็กลับมาอีกครั้งในหน้าร้อนปีหน้าที่แอฟริกาใต้
"โคนม"เป็นทีมที่นับได้ว่า มีสถิติที่ยอดเยี่ยมในรอบสุดท้ายของรายการระดับเมเจอร์ เนื่องจาก 3 ครั้งหลังสุดในศึกฟุตบอลโลก พวกเขาสามารถทะลุไปเล่นรอบ 16 ทีมสุดท้าย 2 ครั้ง และ 8 ทีมสุดท้ายอีกหนึ่งครั้ง อีกทั้งพวกเขายังสามารถสร้างตำนาน "เทพนิยายเดนส์" ด้วยการผงาดคว้าแชมป์ยุโรปในปี 1992 แบบช็อกคนทั้งโลกได้อีกด้วย
เดนมาร์กเป็นประเทศเล็กประชากรน้อย แต่เต็มไปด้วยความคลั่งไคล้ในเกมลูกหนัง ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ "โคนม" ประสำเร็จในจุดที่น่าพอใจทุกครั้ง ที่พวกเขาได้มาโชว์เพลงเตะในรายการนี้ ในปี 1998 ที่ฝรั่งเศส เดนมาร์กเล่นกันได้อย่างยอดเยี่ยมในรอบ 8 ทีมสุดท้าย แต่พวกเขาแพ้ให้กับบราซิลอย่างโชคร้าย 2-3
ทั้งนี้ทั้งนั้น การกลับมาของพวกเขาครั้งนี้ น่าจะช่วยเพิ่มแรงจูงใจ และเป็นยากระตุ้นชั้นดี ให้กับทีมดังจากดินแดนสแกนดิเนเวียอีกครั้ง ทั้งยอน ดาห์ล โทมัสสัน กัปตันทีม และบรรดาแข้งดังของเดนส์ทั้งหลาย กำลังใจจดใจจ่อที่จะได้โลดแล่นบนถนนสายแอฟริกาใต้อีกครั้งหนึ่ง
เส้นทาง สู่แอฟริกาใต้ เวิล์ดคัพ 2010
หลังจากถูกจับไปอยู่ในกลุ่มค่อนข้างแข็ง ที่มีทั้งโปรตุเกส และสวีเดน แต่"โคนม"ก็ทำผลงานได้อย่างสุดยอด ผ่านเข้ารอบมาเป็นอันดับที่หนึ่งของกลุ่ม และแพ้แค่ครั้งเดียวจากทั้งหมด 10 เกม
แมทช์ที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ น่าจะเป็นเกมที่เอาชนะโปรตุเกส 3-2 ถึงแดนฝอยทอง และ เสมอ 1-1 อีกครั้งในบ้านตัวเอง ซึ่ง 4 แต้มจาก 2 เกมนี้ มีผลต่อการเข้ารอบของเดนมาร์กเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังมีทีเด็ดเก็บ 6 คะแนนเต็ม เหนือสวีเดนคู่แข่งเรือนเคียงได้ทั้งไปและกลับ ด้วยประตู 1-0 ทั้งสองเกม
ผู้จัดการทีม
มาร์ติน โอลเซ่น กำลังจะหมดสัญญาคุมทีม หลังจบศึกฟุตบอลโลกที่แอฟริกาใต้ หลังจากกุนซือคนเก่งเข้ามารับงานตั้งแต่ปี 2000 และสามารถพาทีมไปลุยศึกฟุตบอลโลก 2002 ที่เกาหลี/ญี่ปุ่น และ ยูโร 2004 ที่กรีซ
โอลเซ่น เคยเป็นยอดลิเบอร์โล่มาก่อนในสมัยยังเป็นนักเตะ เล่นให้ทั้ง โคโลญจ์ ในเยอรมัน และ อันเดอร์เลชท์ และที่นี่เอง เขาสามารถพาต้นสังกัดในเบลเยี่ยมคว้าแชมป์ยูฟ่าคัพ ในปี 1993 ได้อีกด้วย หลังจากนั้น โอลเซ่น ก็แขวนสตั๊ดในวัย 40 ปี ก่อนที่จะผันตัวเองเป็นโค้ชในเวลาต่อมา
ดาวเด่นประจำ ทีม
เดนมาร์กชุดนี้ มีผู้เล่นที่น่าจับตามองหลายคนทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น ยอน ดาห์ล โทมัสสัน จากเฟเยนูร์ด, คริสเตียน โพลเซ่น จากยูเวนตุส, ดาเนี่ยล แอ็กเกอร์ จากลิเวอร์พูล และเดนนิส รอมเมดาห์ล จากอาแจ็กซ์ฯ รวมไปถึงดาวรุ่งอย่าง นิคลาส เบนท์เนอร์ หัวหอกร่างยักษ์จากอาร์เซน่อลอีกด้วย
สถิติในฟุตบอล โลกที่ผ่านมา
- บอลโลกที่แอฟริกาใต้คราวนี้ จะเป็นการเข้ามาเล่นรอบสุดท้ายครั้งที่ 4 ของทีมชาติเดนมาร์ก
- ทะลุถึงรอบ 16 ทีมสุดท้าย ในปี 1986 และ 2002, และรอบ 8 ทีมสุดท้ายในปี 1998
สถิติ
-ได้แชมป์ ยูโร 1992 ก่อนที่จะคว้าแชมป์คอนเฟดเดอเรชั่นคัพในปี 1995
วาทะ
"ฟุตบอลโลกเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่เสมอ โดยเฉพาะการได้เล่นในทวีปแอฟริกา มันเป็นอะไรที่สุดวิเศษ เพราะจะทำให้รู้จักความแตกต่างของผู้คนที่นั่นอย่างที่ไม่เคยผ่านมาก่อน แต่ฟุตบอลโลกทุกครั้ง มักจะมีอะไรที่พิเศษภายในเฉพาะของแต่ละชาติอยู่แล้ว เหมือนเมื่อครั้งที่เอเชียเมื่อปี 2002 มันช่างเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมสำหรับทุกๆคน สำหรับผม และ นักเตะ" มาร์ติน โอลเซ่น ผู้จัดการทีมชาติเดนมาร์ก